"ชาวบ้านตรัง" เตรียมยื่นถวายฏีกาปัญหาที่ดินวังวนไม่คืบ
9 ต.ค. 2562, 11:18
ผู้สื่อข่าว onb news รายงานว่า คณะกรรมการสอบสวนตามคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน กรณีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส.3 ก. ในพื้นที่ ต.วังวน อ.กันตัง จ.ตรัง จำนวน 8 แปลง (จากทั้งหมด 11 แปลง) นำโดย นายวุฒิชัย พูนขันธ์ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดตรัง สาขากันตัง พร้อมคณะกรรมการคนอื่นๆ ได้แก่ เจ้าหน้าที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบง เจ้าพนักงานฝ่ายรังวัดที่ดิน และชาวบ้านเจ้าของที่ดินเดิมที่ครอบครอง ส.ค.1 ได้ลงพื้นที่ ต.วังวน เพื่อร่วมกันตรวจสอบแนวเขต และตำแหน่งที่ดินที่ถูกต้องชัดเจนของ ส.ค.1 ทั้ง 8 แปลง และพื้นที่ข้างเคียง หลังจากที่คณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ (กบร.) จ.ตรัง มีมติเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2560 ให้กรมที่ดิน เพิกถอน น.ส.3 ก.ของนายทุนรายหนึ่ง จำนวน 11 แปลง เนื้อที่รวมกว่า 608 ไร่ ออกจากสารบบที่ดิน หลังจากคณะกรรมการ กบร.ตรวจสอบแล้วพบว่า สำนักงานที่ดินสาขากันตัง ออก น.ส.3 ก.ทั้ง 11 แปลงดังกล่าว โดยมิชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากออกไม่ตรงกับตำแหน่งที่ตั้งเดิมของ ส.ค.1 (ส.ค.1 บิน) และเมีนื้อที่เพิ่มจาก ส.ค.1 เดิม ซึ่งเนื้อที่ใน ส.ค.1 เดิม มีรวมกันเพียงประมาณ 100 ไร่เศษ แต่เมื่อออกเป็น น.ส.3 ก. ที่เปลี่ยนมือมาอยู่ในมือนายทุนคนปัจจุบัน เนื้อที่กลับบวมเพิ่มขึ้นเป็น 608 ไร่เศษ (ที่ดินบวม)
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาคณะกรรมการสอบสวนฯ ตามคำสั่งอธิบดีกรมที่ดินดังกล่าว โดยเฉพาะในตำแหน่งเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดตรัง สาขากันตัง ไม่ได้ลงตรวจสอบแปลงที่ดินให้ชัดเจน โดยปฏิเสธการลงพื้นที่ตรวจสอบความชัดเจนรายแปลง ร่วมกับเจ้าหน้าที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบง และชาวบ้านเจ้าของ ส.ค.1 เดิม และที่สำคัญไม่นำเสนอข้อมูลพิกัดการตรวจจับตำแหน่งโดยใช้ระบบ GPS ของเขตห้ามล่าฯ ไปยังกรมที่ดิน เพื่อพิจารณาประกอบการเพิกถอน น.ส.3 ก.ออกจากระบบ โดยชาวบ้านมองว่า เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดตรัง และเจ้าพนักงานที่ดินสาขากันตัง มีลักษณะเข้าด้วยช่วยเหลือนายทุนผู้ครอบครอง น.ส.3 ก. ในการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากสวนปาล์มน้ำมันดังกล่าว ประกอบกับไม่นำเสนอข้อมูลที่ทางเขตห้ามล่าฯ นำเสนอประกอบการพิจารณาเพิกถอน สำหรับการลงตรวจสอบในครั้งนี้ เป็นการตรวจสอบ ส.ค.1 ของชาวบ้านครอบครองเดิมที่อยู่นอกพื้นที่สวนปาล์มแปลงใหญ่ที่นายทุนครอบครอง ซึ่งปัจจุบันถูกปิดทางเข้าออกทั้งหมด โดยมีการทำประตูรั้ว และข้อความห้ามบุกคนภายนอกเข้า รวมทั้งสัตว์เลี้ยงเข้า ส่วนการเข้าตรวจสอบภายในแปลงสวนปาล์มซึ่งนายทุนถือเอกสาร น.ส.3 ก.นั้น จะต้องนัดลงพื้นที่อีกครั้ง
นายสุริยา เบ็ญฤทธิ์ เจ้าของที่ดินเดิม จำนวน 2 แปลง กล่าวว่า เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดตรัง สาขากันตัง คนใหม่ ส่วนตัวคิดว่าพอจะคาดหวังเรื่องการทำงานได้ เพราะเจ้าพนักงานที่ดินสาขากันตัง คนก่อนๆ ไม่เคยลงพื้นที่ตรวจสอบแปลงที่ดินของชาวบ้านร่วมกับคณะกรรมการคนอื่นๆ เมื่อชาวบ้านไปขอพบเพื่อสอบถามความคืบหน้าของการตรวจสอบ ก็ไม่เคยได้รับความร่วมมือ พยายามหลบเลี่ยงไม่ให้คำตอบ ทั้งนี้ แปลงของตนเองและของชาวบ้านที่เดือดร้อนทั้ง 11 แปลง เจ้าหน้าที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบง ได้ลงมาตรวจวัดจับพิกัด GPS ไปแล้วประมาณ 4 ครั้ง แต่เจ้าพนักงานที่ดินสาขากันตัง กลับไม่เคยลงตรวจสอบแปลง จึงทำให้เกิดปัญหา เมื่อชาวบ้านและเจ้าหน้าที่เขตห้ามล่าฯ ส่งหลักฐานการตรวจสอบรายแปลงและพื้นที่ข้างเคียงไปให้เจ้าพนักงานที่ดินสาขากันตัง แต่กลับไม่รวบรวมนำเสนอต่ออธิบดีกรมที่ดิน ทำให้หลักฐานการตรวจสอบจากเขตห้ามล่าฯ ไม่สามารถนำไปลงในแผนที่ระวางที่ดินของกรมที่ดินได้
กระทั่งล่าสุดกรมที่ดิน ได้ส่งหนังสือถึง นายลือชัย เจริญทรัพย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง ให้แจ้งให้คณะกรรมการสอบสวนฯ ดำเนินการตรวจสอบความชัดเจนของแปลงที่ดินทั้งหมดให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันรับหนังสือ (5 มิถุนายน 2562) แต่ผ่านมาแล้วกว่า 100 วัน เจ้าพนักงานที่ดินสาขากันตัง ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการสอบสวน ยังไม่ดำเนินการ และเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดตรัง ก็ไม่กำกับเร่งรัดให้ดำเนินการ จนกระทั่งชาวบ้านต้องเดินทางไปติดตามที่ห้องทำงานผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง และเจ้าพนักงานที่ดินสาขากันตัง คนใหม่ มารับตำแหน่ง จึงได้เข้าดำเนินการในครั้งนี้ ดังนั้น ในบรรดาผู้สูญเสียโอกาสทำประโยชน์ในที่ดินที่เกิดจากการทุจริตของเจ้าหน้าที่ที่ดินทั้ง 11 แปลง มีความเห็นร่วมกันมาก่อนหน้านี้แล้วว่า ถ้าหากเจ้าพนักงานที่ดินสาขากันตังในยุคนี้ ยังไม่เร่งรัดดำเนินการให้แล้วเสร็จ ทั้งหมดจะเดินทางไปยื่นถวายฎีกา เนื่องจากพวกตนทั้งหมดหาที่พึ่งไม่ได้แล้ว ขณะที่หน่วยงานที่ดินเองก็ควรจะปฏิรูปใหม่ เพราะเหมือนเป็นโรคร้าย แก้ไขไม่ได้ เพราะที่ผ่านมาเกิดการทุจริตจำนวนมากทั่วประเทศ แถมยังพยายามเตะถ่วงช่วยเหลือนายทุน ไม่สนใจชาวบ้านผู้ถูกกระทำ
ด้าน นายโชติพัฒน์ หวังบริสุทธิ์ ชาวบ้านเจ้าของที่ดินเดิมอีกราย กล่าวว่า ปัญหาของชาวบ้านผ่านมาไม่ต่ำกว่า 4 ปีแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการแก้ไข โดยชาวบ้านเจ้าของที่ดินเดิมไม่สามารถเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินของตนเองไม่ได้ ขณะที่นายทุนกลับเข้าไปทำประโยชน์เต็มพื้นที่ ด้วยการปลูกปาล์มน้ำมันและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อยู่ฝ่ายเดียว ส่วนชาวบ้านเจ้าของที่ดินเดิมเข้าไปไม่ได้ จะถูกจับ หรือคนที่อาศัยอยู่ในที่ดินเดิม จะไปขอออกเป็น น.ส.3 ก. ก็ทำไม่ได้ เพราะถูกเจ้าพนักงานที่ดินเอาเลขที่ ส.ค.1 ไปออกเป็น น.ส.3 ก. ให้แก่นายทุนไปแล้ว มาถึงเวลานี้ความล่าช้าในการเพิกถอน น.ส.3 ก.ออกจากสารบบที่ดิน ก็เกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐที่ไม่ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย มีการตรวจสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้เกิดความล่าช้า จึงทำให้ชาวบ้านรู้สึกเบื่อหน่าย และเดือดร้อนหนัก จนมาครั้งนี้หวังว่าทางเจ้าหน้าที่ที่ดินสาขากันตัง จะจริงใจในการแก้ปัญหาที่อดีตคนขององค์กรสร้างขึ้นมาให้แล้วเสร็จ แต่หากยังไม่แล้วเสร็จ ชาวบ้านทั้งหมดก็พร้อมจะเดินทางเข้ายื่นหนังสือถวายฏีกาตามที่เคยประกาศไว้
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าว ONB news รายงานว่า สำหรับที่ดิน น.ส.3 ก.ที่กำลังเกิดปัญหาดังกล่าวนั้น นายทุนผู้ครอบครองคนปัจจุบันไม่ใช่เป็นคนขอออก น.ส.3 ก. แต่ซื้อที่ดินทั้งหมดมาจากกรมบังคับคดี