อช.หาดนพรัตน์ธาราหมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ แจ้งเตือนผู้ประกอบการ ระมัดระวังการเดินเรือ หลังกรมอุตุฯ เตือนฝนฟ้าคะนองและคลื่นลมแรง
3 ส.ค. 2566, 18:34
นางรักชนก แพน้อย หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ กล่าวว่า ช่วงเดือน ส.ค.ไปจนถึงเดือน ก.ย. ของทุกปี จะเป็นช่วงที่ลมมรสุมพัดเข้ามาปกคลุมพื้นที่ประเทศไทย ส่งผลให้ทะเลมีคลื่นแรง และมีลมพายุพัดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการท่องเที่ยวทางทะเล ซึ่งจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวกันจำนวนมากในแต่ละวัน จากสภาวะคลื่นลมแรงอาจทำให้เกิดอันตรายต่อนักท่องเที่ยวได้
ล่าสุดกรมอุตุนิยมวิทยา มีประกาศ ฉบับลงวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2566 เรื่อง ฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณประเทศ ไทยและคลื่นลมแรงบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบน ฉบับที่ 6 (211/2566) แจ้งว่า ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบนและประเทศลาวตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามันประเทศไทย และอ่าวไทย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังค่อนข้างแรงโดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเสี่ยงการเดินเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับเรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันควรงดออกจากฝั่งจนถึงวันที่ 3 สิงหาคม 2566
ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยและป้องกันอุบัติเหตุทางน้ำที่อาจเกิดขึ้น อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพีจึงได้ประกาศ เรื่อง ให้ระมัดระวังการประกอบกิจกรรมท่องเที่ยวหรือดำเนินกิจกรรมใด ๆ ช่วงมีมรสุมคลื่นลมแรง เนื่องจากการเดินเรือในช่วงมรสุมฝนตกหนักและคลื่นลมแรง จึงขอประกาศเตือนให้ใช้ความระมัดระวัง ในการประกอบกิจกรรมท่องเที่ยวหรือดำเนินกิจกรรมใด ๆ ในบริเวณแหล่งท่องเที่ยว ทางทะเลทุกแห่งในเขตอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี และให้ผู้ควบคุมเรือทุกลำตรวจสอบความพร้อมต่าง ๆ ให้พร้อมใช้งานตลอดเวลา สวมเสื้อชูชีพตลอดเวลาขณะอยู่ในเรือ และขอให้ติดตามรายงานข่าวสภาพอากาศของกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้หากฝ่าฝืนนำเรือออกไปในช่วงมรสุม เป็นความผิดมีบทลงโทษ อุทยานแห่งชาติฯ มีอำนาจเปรียบเทียบปรับได้ มีโทษสูงสุดต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท ส่วนการกระทำอื่นใดในเขตอุทยานแห่งชาติที่มีความผิดนอกเหนือจากประกาศกำหนด จะต้องถูกดำเนินคดีตามขั้นตอนศาลยุติธรรม มีโทษต่ำสุด ต้องระวางโทษจำคุกสองปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มีโทษสูงสุด ต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่สี่ปีถึงยี่สิบปีหรือปรับตั้งแต่สี่แสนบาทถึงสองล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ