วันที่ 13 มิถุนายน 66 นายสมรรถพล อุดมศิลป์ ประธานกลุ่มประจวบต้องดี เขตเทศบาลเมืองประจวบคีรีขันธ์ ได้เดินทางไปตรวจสอบการปล่อยน้ำเสียจากชุมชนในเขตเทศบาลลงบนชายหาดอ่าวประจวบฯ หลังจากก่อนหน้านั้นมีฝนตกประมาณ 15 -20 นาที โดยตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดยังมีน้ำเสียจากชุมชนไหลทะลุสันเขื่อนกันคลื่นไหลลงริมหาดที่ถนนคนเดินแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังใกล้สะพานสราญวิถี ด้านหน้าสำนักงานเทศบาล หลังจากเมื่อเดือนมีนาคม 2566 มีคำสั่งของศาลปกครองเพชรบุรีสั่งให้ปิดทางระบายน้ำทุกจุดป้องกันน้ำเสียลงชายหาด

ด้านจ่าอากาศเอก เสกสรรค์ จันทร แกนนำเครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภค อ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ ผู้ฟ้องคดีศาลปกครอง กล่าวว่า เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2566 ศาลปกครองเพชรบุรีมีคำสั่งในคดีกำหนดวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนพิพากษา ปมทิ้งน้ำเสียลงหาด ให้เทศบาลเมืองประจวบฯปิดจุดระบายน้ำล้นที่ฝายน้ำล้นทุกจุด และทำการซ่อมแซมอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ให้ผู้ว่าฯประจวบ หาวิธีการแก้ไขกรณีมีน้ำฝนจำนวนมาก เพื่อไม่ให้เกิดน้ำท่วม โดยให้ดำเนินการทันที จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น หลังจากศาลมีคำสั่งนานกว่า 2 เดือนปัจจุบันยังมีปัญหาการปล่อยน้ำเสียตามปกติไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

 

 

นอกจากนั้นผู้เกี่ยวข้องยังปล่อยให้น้ำเสียจากชุมชนที่มีกลิ่นเหม็นไหลลงชายหาดโดยตรงมีลักษณะคล้ายน้ำตกที่ด้านข้างสะพานสราญวิถี ทำให้พื้นที่ชายหาดถูกกัดเซาะ โดยมีนักท่องเที่ยว ประชาชนที่มาออกกำลังกาย ซื้ออาหารริมถนนเลียบชายหาดถ่ายคลิปภาพไว้เป็นที่ระลึก เช่นเดียวกับบริเวณด้านหน้ารั้วกองบิน 5 ยังมีน้ำเสียไหลลงทะเลจำนวนมาก ซึ่งพบว่าน้ำมีสีดำและส่งกลิ่นเหม็น ทำให้กระทบกับระบบนิเวศชายฝั่งและประชาชนในพื้นที่

ขณะเดียวกันเทศบาลเมืองประจวบคีรีขันธ์ ได้เร่งติดตั้งเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ที่โรงสูบ ริมถนนสู้ศึก ด้านข้างศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อสูบน้ำไปบ่อบำบัดน้ำเสีย ไม่ให้น้ำล้นลงชายหาด ขณะที่องค์การจัดการน้ำเสีย ( อจน.) ชี้แจงว่าอยู่ระหว่างการจัดงบเพื่อซ่อมเครื่องสูบน้ำ ยอมรับว่าระบบน้ำเสียปัจจุบันมีอายุใช้งานนานกว่า 25 ปีซึ่งนานเกินไป เนื่องจากปัจจุบันชุมชนมีการขยายตัวต่อเนื่อง