คมนาคม ยันด่านตรวจชั่งน้ำหนักรถบรรทุกใช้ระบบอัตโนมัติ ไม่เอื้อจ่ายส่วย
31 พ.ค. 2566, 18:55
วันที่ 31 พ.ค. 66 นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน รองปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีการติดสินบนเจ้าหน้าที่โดยการติดสติ๊กเกอร์บนรถบรรทุก ครั้งที่ 1/2566 ว่า ที่ประชุมแต่งตั้งคณะทำงานย่อยเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และรวบรวมเอกสารพยานหลักฐานต่างๆเพื่อนำกลับมารายงานผลอีกครั้งในวันที่ 9 มิ.ย.นี้
“จากการชี้แจงของกรมทางหลวง (ทล.) เกี่ยวกับข้อกล่าวหาของการรับสินบนเพื่อแลกกับการยกเว้นตรวจสอบน้ำหนักรถบรรทุกนั้น เบื้องต้นทราบว่า ทล.มีการติดตั้งด่านตรวจน้ำหนักรถบรรทุก ซึ่งใช้ระบบเทคโนโลยีเข้ามาตรวจจับน้ำหนักตั้งแต่ปี 2549 โดยปัจจุบันมีด่านเปิดใช้งานแล้ว 97 ด่านและมีแผนจะพัฒนาเพิ่มเป็น 128 ด่านทั่วประเทศใช้ระบบไอทีตรวจจับน้ำหนักรถบรรทุก
ดังนั้นข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการติดสติ๊กเกอร์เพื่อแลกกับการไม่ตรวจชั่งน้ำหนักคงไม่ใช่ เพราะหากรถเข้าด่านแต่มีน้ำหนักเกินกำหนด หากติดสติ๊กเกอร์เครื่องก็สามารถตรวจจับน้ำหนักได้อยู่แล้ว และเมื่อพบว่ามีน้ำหนักเกินก็ต้องถูกเรียกปรับตามกฎหมายกำหนด” นายพิศักดิ์ ระบุ
นายจิระพงศ์ เทพพิทักษ์ รองอธิบดีกรมทางหลวง ระบุ ปัจจุบันไม่ได้ใช้ระบบคนตรวจสอบน้ำหนักรถบรรทุก แต่เป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ ดังนั้นคงไม่เกี่ยวเนื่องว่ารถที่มีสติ๊กเกอร์เท่านั้นที่จะผ่านด่านตรวจน้ำหนัก เพราะระบบเหล่านี้ตรวจจับที่น้ำหนักไม่ได้ยกเว้นสติ๊กเกอร์ประเภทใด หากตรวจจับน้ำหนักแต่ละคันมีผลอย่างไรนั้น ระบบหน้าด่านก็จะส่งผลมายังศูนย์ควบคุมกลาง เพื่อเปรียบเทียบปรับต่อไป
“ทล.มีการตรวจสอบเจ้าหน้าที่ประจำด่านตรวจชั่งน้ำหนัก โดยสลับพื้นที่หัวหน้าด่านฯซึ่งเป็นข้าราชการประจำหน่วยทุกๆ 8 เดือน เพื่อป้องกันการกระทำความผิด ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและตอบข้อสงสัยของสังคม ทล.จะตั้งคณะทำงานเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง ขณะนี้อยู่ระหว่างรออธิบดีกรมทางหลวงลงนามคำสั่งแต่งตั้ง สำหรับผลการจับกุมรถบรรทุกน้ำหนักเกินย้อนหลัง 4 ปีพบว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง”
ขณะที่ นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนรวมรวบข้อมูลตรวจสอบเกี่ยวกับการร้องเรียนหรือกระแสสังคม ซึ่งต้องดำเนินการแล้วเสร็จภายใน 15 วัน และเน้นย้ำให้หน่วยงานในสังกัดปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกต้อง โปร่งใส หากผลการสอบสวนพบมีเจ้าหน้าที่ ขบ. กระทำผิดจะต้องได้รับโทษทางวินัยและตามกฎหมายขึ้นอยู่กับแต่กรณี หากรุนแรงถึงขั้นให้ออกจากราชการ