นายกฯ ชื่นชม! ความสำเร็จจากความคืบหน้าเจรจา FTA หลายฉบับ พร้อมเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันของไทย
16 พ.ค. 2566, 08:50
(วันที่ 16 พฤษภาคม 2566) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบและยินดีที่การเจรจาเขตการค้าเสรี (Free Trade Agreement: FTA) หลายฉบับมีความคืบหน้าอย่างมากและต่อเนื่อง เชื่อมั่นว่าจะมีส่วนช่วยเพิ่มศักยภาพและความสามารถทางการแข่งขันของไทยท่ามกลางความท้าทายเศรษฐกิจโลก
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไทยตั้งเป้าสรุปผลการเจรจา FTA 3 ฉบับ ได้แก่ 1. European Free Trade Area: EFTA (สาธารณรัฐไอซ์แลนด์ ราชรัฐลิกเตนสไตน์ ราชอาณาจักรนอร์เวย์ และสมาพันธรัฐสวิส) 2. ศรีลังกา และ 3. สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ให้จบภายในกลางปี 2567 เพื่อเพิ่มศักยภาพการค้าและการลงทุนระหว่างกัน ซึ่งปัจจุบันไทยมี FTA รวม 14 ฉบับกับ 18 ประเทศ ได้แก่ อาเซียน 9 ประเทศ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย เปรู ชิลี และฮ่องกง โดยความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ถือเป็น FTA ฉบับล่าสุดของไทย (สถานะเดือนกุมภาพันธ์ 2566)
โดย FTA ไทย-EFTA มีความสำคัญต่อประเทศไทยในแง่ของการค้าและการพัฒนาอย่างยั่งยืน และได้มีการประกาศเปิดการเจรจาจัดทำความตกลงอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งล่าสุดได้มีการเจรจาไปแล้ว 4 รอบ โดยปี 2565 EFTA เป็นคู่ค้าอันดับที่ 14 ของไทย มูลค่าการค้าระหว่างกันเฉลี่ย 9,857.84 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี ระหว่างปี 2561 - 2565 และในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2566 (มกราคม-มีนาคม) การค้าระหว่างกันมีมูลค่าแล้วกว่า 2,259.60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในขณะที่ FTA ไทย-ศรีลังกามีความคืบหน้าอย่างมากด้วยดีในการเจรจารอบที่ 4 และจะเจรจารอบต่อไปในเดือนมิถุนายนนี้ ทั้งนี้ ศรีลังกาเชื่อมโยงกับอินเดีย ปากีสถาน บังกลาเทศ และเนปาล และเป็นประเทศในเอเชียใต้ที่เศรษฐกิจกำลังเติบโต โดยในปี 2565 การค้าระหว่างไทยและศรีลังกามีมูลค่า 358.21 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ ยางพารา ผ้าผืน อัญมณีและเครื่องประดับ เม็ดพลาสติก และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ
ส่วน FTA ไทย-UAE จะเป็นข้อตกลงการค้าฉบับแรกสำหรับไทยในตะวันออกกลาง ซึ่งในวันพรุ่งนี้ (9 พฤษภาคม 2566) จะมีการเจรจาความร่วมมือทำความตกลงอย่างเป็นทางการ โดยมีเป้าหมายเพื่อสรุปผลการเจรจาภายใน 6 เดือน ทั้งนี้ UAE เป็นคู่ค้าอันดับที่ 6 ของไทยในตลาดโลก และเป็นคู่ค้าอันดับต้นๆ ในตะวันออกกลาง ในปี 2565 มีมูลค่าการค้าระหว่างกันกว่า 20,800 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเมื่อเทียบเป็นรายปีเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 73.9 โดยไทยส่งออกสินค้าคิดเป็นมูลค่า 3.43 พันล้านดอลลาร์ มีสินค้าหลักคือ รถยนต์ เครื่องปรับอากาศ ชิ้นส่วนและส่วนประกอบ เครื่องประดับ และไม้
“นายกรัฐมนตรีสั่งการการทำงานด้านการค้าการลงทุน เตรียมพร้อมประเทศท่ามกลางความท้าทายของเศรษฐกิจโลกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมทั้งขยายโอกาสทางการค้าการลงทุนกับประเทศที่เป็นตลาดหลัก และตลาดใหม่ของไทย เชื่อมโยงไทยกับห่วงโซ่การผลิตโลก ทั้งนี้ FTA จะเป็นเครื่องมือสำคัญช่วยลดปัญหาอุปสรรคด้านการส่งออก เพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการไทยในการจับคู่ธุรกิจ และมีตลาดรองรับผลผลิตทั้งในประเทศและต่างประเทศอีกด้วย” นายอนุชาฯ กล่าว