เช็กเลย! "โมบายแบงก์กิ้ง" ธนาคารที่ต้องยืนยันตัวตนที่สาขา ก่อนทำธุรกรรมไม่ได้
22 เม.ย. 2566, 14:35
จากกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ได้ออกมาตรการป้องกันการทุจริตทางการเงิน ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและหลายรูปแบบ ทั้ง SMS หลอกลวง แก๊งคอลเซ็นเตอร์ แอพพลิเคชั่นให้สินเชื่อปลอม และแอพพลิเคชั่นดูดเงิน
สำหรับมาตรการต่างๆ เพื่อปิดช่องมิจฉาชีพนั้น ได้แก่
1.งดส่งลิงก์ทุกประเภท ผ่าน SMS อีเมล์ และงดส่งลิงก์ขอข้อมูลสำคัญ เช่น ชื่อผู้ใช้งาน รหัสผ่าน และเลขบัตรประชาชนผ่านโซเชียลมีเดีย
2.จำกัดจำนวนบัญชีผู้ใช้งาน mobile banking (username) ของแต่ละ สถาบันการเงินให้ใช้ได้ใน 1 อุปกรณ์เท่านั้น
3.สถาบันการเงินต้องจัดให้มีการแจ้งเตือนผู้ใช้บริการ mobile banking ก่อนทำธุรกรรมทุกครั้ง และพัฒนาระบบความปลอดภัยบน mobile banking ให้เท่าทันภัยการเงินรูปแบบใหม่อยู่ตลอดเวลา
4.ยกระดับความเข้มงวดในกระบวนการยืนยันตัวตนขั้นต่ำด้วยการใช้เทคโนโลยีเปรียบเทียบข้อมูลอัตลักษณ์ทางกายภาพของลูกค้า เช่นสแกนใบหน้า กรณีเปิดบัญชีโดยแอพพ์ หรือ ทำธุรกรรมผ่าน mobile banking ในเงื่อนไขที่กำหนดไว้ เช่น โอนเงินมากกว่า 50,000 บาท หรือปรับเพิ่มวงเงินทำธุรกรรมต่อวันเป็นตั้งแต่ 50,000 บาท ขึ้นไป
5.กำหนดเพดานวงเงินถอน/โอนสูงสุดต่อวันให้เหมาะสมตามระดับความเสี่ยงของกลุ่มผู้ใช้บริการแต่ละประเภท โดยลูกค้าสามารถขอปรับได้ตามความจำเป็น และต้องยืนยันตัวตนอย่างเข้มงวด
แบงก์ใดบ้าง ต้องยืนยันตัวตนก่อน พ.ค.
จากมาตรการดังกล่าว ทำให้ขณะนี้ ธนาคารหลายแห่ง ได้แจ้งให้ผู้ใช้บริการโมบาย แบงกิ้ง ของแต่ละธนาคาร นำบัตรประชาชน ไปยืนยันตัวตน พร้อมสแกนใบหน้า ในกรณีที่ต้องทำธุรกรรมบางอย่าง อาทิ
1. ธนาคารกรุงเทพ
– รายการโอนเงินตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไปต่อรายการ ยอดสะสมต่อวัน ครบทุก 200,000 บาท
– ปรับเพิ่มวงเงินโอนเงิน จ่ายเงินผ่านแอพพ์
2. ธนาคารออมสิน
– รายการโอนเงินตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไปต่อรายการ ยอดสะสมต่อวัน ครบทุก 200,000 บาท
– ปรับเพิ่มวงเงินโอนเงิน จ่ายเงินผ่านแอพพ์
3.ธนาคารไทยพาณิชย์
– รายการโอนเงินตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไปต่อรายการ ยอดสะสมต่อวัน ครบทุก 200,000 บาท
– ปรับเพิ่มวงเงินโอนเงิน ตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป