เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2562 ผู้สื่อข่าว ONB news รายงานว่า ที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) พบว่า ตลอดทั้งวันได้มีเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมันชาว จ.ตรัง นำสมุดเงินฝากไปตรวจเช็คกับธนาคาร และตู้เอทีเอ็ม อย่างไม่ขาดสาย ภายใต้โครงการประกันรายได้ให้เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน ในงวดแรก จำนวนคนละไม่เกิน 25 ไร่ ซึ่งส่วนใหญ่จะเบิกเงินออกไปเลย เพื่อต้องการไปซื้อปุ๋ยใส่บำรุงต้นและผลผลิตปาล์ม เนื่องจากหลายรายยังไม่ได้ใส่ หรือใส่บ้างแต่น้อยนิด จนไม่เพียงปริมาณความต้องการของต้น ขณะที่บางรายนำเงินไปใช้หนี้ค่าปุ๋ยที่เอามาใส่ก่อนหน้านี้ และรอเงินจำนวนดังกล่าวจากรัฐบาลเพื่อนำมาใช้หนี้ ซึ่งแม้หลายคนจะดีใจที่ได้รับการช่วยเหลือ แต่กลับมองว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุด เพราะอยากให้ช่วยให้มีราคาผลผลิตสูงขึ้นมากกว่า

โดยหนึ่งในเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ชาว อ.วังวิเศษ ซึ่งมาพร้อมคุณแม่ กล่าวว่า ดีใจที่เงินช่วยเหลือดังกล่าวเข้าบัญชี จำนวน 25 ไร่ เป็นเงินจำนวน 12,000 บาท เพราะจะได้นำไปซื้อปุ๋ย ที่ผ่านมาได้ใส่บ้าง แต่ใส่น้อยๆ ไม่มีเงินใส่ เนื่องจากปาล์มมีราคาถูก จนบางช่วงเหลือแค่กิโลกรัมละ 1.50 บาทเท่านั้น ซึ่งต่ำสุดในรอบหลายสิบปี จึงทำให้ต้นปาล์มไม่มีลูก หรือมีผลผลิต และหลังจากที่ราคาปาล์มตกต่ำมายาวนาน ทำให้ต้องมาตัดลูกเอง เพราะไม่มีเงินจ้างลูกจ้าง ซึ่งดีใจที่ได้รับการช่วยเหลือ แต่อยากให้ช่วยพยุงราคาให้สูงขึ้นอยู่ที่กิโลกรัมละ 4 บาท เพื่อจะได้คุ้มทุน มีเงินซื้อปุ๋ย และมีเงินจ้างลูกจ้างๆ ก็จะได้มีงานทำ

 

ด้าน นายสุวิทย์ ทองหอม เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ชาว อ.เมืองตรัง กล่าวว่า โครงการประกันรายได้ให้เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน เป็นเพียงมาตรการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หรือเป็นแค่การต่ออายุชาวสวนมากกว่า แต่รัฐบาลควรจะพิสูจน์ฝีมือเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในด้านราคา โดยเฉพาะการดึงปาล์มออกจากตลาดไปใช้ให้มากที่สุด เช่น การส่งเสริมผลิตและใช้น้ำมัน B100 อย่างจริงจัง แต่ถ้าหากทำด้วยวิธีนี้อย่างเดียว ก็เท่ากับย่ำอยู่กับที่ และจะเกิดปัญหาอีก รวมทั้งไปตรวจสอบแก้ไขปัญหาการนำเข้าน้ำมันปาล์มเพื่อการส่งอออกว่า ส่งออกจริงหรือไม่ และตรวจสอบการลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์มอย่างเด็ดขาด ก็จะสามารถแก้ปัญหาด้านราคาได้จริง