โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ให้ความสำคัญ ผลักดันผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจไทย-อาเซียน ตั้งเป้าเศรษฐกิจอาเซียนเติบโต ครอบคลุม ยั่งยืน
19 ก.พ. 2566, 12:31
วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้รับทราบประเด็นเรื่องการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจอาเซียน (Senior Economic Officials Meeting: SEOM) ที่ผ่านมา ณ เมืองเซอมารัง สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ซึ่งในปีนี้เน้นย้ำถึงประเด็น “บทบาทอาเซียนที่มีความสำคัญในฐานะศูนย์กลางการเจริญเติบโต (ASEAN Matters: Epicentrum of Growth)” และตั้งเป้าให้เศรษฐกิจอาเซียนเติบโตอย่างรวดเร็ว ครอบคลุม และยั่งยืน
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า ในการประชุมครั้งนี้ ได้พิจารณาประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจ เช่น การเร่งติดตามความคืบหน้าในการเจรจายกระดับความตกลงการค้าเสรี (FTA) ความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน (ASEAN Trade in Goods Agreement: ATIGA) ระหว่าง อาเซียน-แคนาดา ซึ่งจะสามารถสรุปผลได้ในปี 2567 ความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน-จีน และ ความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน-อินเดีย ซึ่งตั้งเป้าสรุปผลในปี 2568 ความตกลงการค้าสินค้าออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ซึ่งจะมีการลงนามพิธีสารแก้ไขความตกลงในปีนี้ โดยจะเป็นความตกลงฉบับที่ 3 ของไทย ที่สามารถใช้รูปแบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง เพิ่มเติมจากความตกลง ATIGA และ RCEP ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ตลอดจน ได้พิจารณาผลักดันประเด็นในการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ได้แก่ การจัดตั้งสำนักเลขาธิการ RCEP เพื่อกำกับดูแลภายใต้ข้อตกลง RCEP การจัดทำกรอบการอำนวยความสะดวกด้านการบริการของอาเซียน เช่น การนำหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า e-Form D มาใช้อย่างเต็มรูปแบบผ่านระบบ ASEAN Single Window (ASW) อำนวยความสะดวกทางการค้า ลดต้นทุนทางธุรกิจ ส่งเสริมการค้าดิจิทัลข้ามพรมแดน และส่งเสริมการใช้ e-Form D เพิ่มขึ้น โดยปัจจุบัน ATIGA e-Form D มีอัตราการใช้อยู่ที่ 89.6% นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้ผลักดันประเด็น การเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน การสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันของ MSMEs การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล การพัฒนาที่ยั่งยืน การลดกำแพงภาษี ระหว่างภูมิภาค รวมถึงขยายความสัมพันธ์กับประเทศนอกภูมิภาค
“นายกรัฐมนตรีมุ่งมั่นที่จะใช้ทุกความร่วมมือระหว่างประเทศให้เกิดโอกาส และประโยชน์สูงสุด พร้อมผลักดัน และสนับสนุนในประเด็นทางเศรษฐกิจที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ทั้งต่อไทย และภูมิภาค เพื่อกระตุ้นกิจกรรมเศรษฐกิจในตลาด ส่งผลถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในประเทศ” นายอนุชาฯ กล่าว