นายกฯ ยันต่างชาติสนใจลงทุนในประเทศ ชี้ครึ่งปีแรกตัวเลขเฉียด 7 หมื่นล้านบาท
26 ก.ค. 2565, 16:36
วันนี้ ( 26 ก.ค.65 ) เวลา 13.00 น. ณ โถงกลาง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ถึงกรณีที่มีการปล่อยข่าวว่า ประเทศไทยไม่ใช่เป้าหมายในการลงทุนที่สำคัญของโลกหรือของภูมิภาคต่าง ๆ นั้นเป็นข้อมูลที่บิดเบือน ไม่เป็นความจริง ซึ่งจากรายงานตัวเลขทางเศรษฐกิจโดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 ต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเกือบ 70,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 เกือบ 30,000 ล้านบาท จ้างคนไทยกว่า 3 พันคน โดยประเทศที่เข้ามาลงทุนมากที่สุดสามอันดับแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกา ซึ่งเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว และการขอรับหนังสือรับรองการประกอบกิจการของคนต่างด้าว เมื่อเทียบกับปี 2564 มีผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น มีเม็ดเงินลงทุนเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งการจ้างงานคนไทยเพิ่มขึ้นด้วย
นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการพบปะหารือกับสมาคมภาคธุรกิจต่าง ๆ และมีความก้าวหน้าด้านการขอรับสิทธิ์ประโยชน์เพื่อเข้ามาลงทุนในประเทศไทยในหลายพื้นที่ ประกอบด้วยหลายกิจการ ทั้งธุรกิจรูปแบบเดิมและธุรกิจใหม่ ๆ โดยนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า ในเวลานี้หลายประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัญหาอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลงแต่ส่งผลดีต่อการส่งออก แม้อาจจะส่งผลกระทบกับปัญหาการนำเข้า แต่สถานการณ์เศรษฐกิจภายในประเทศค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น ทั้งนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของประเทศมหาอำนาจและกลุ่มประเทศต่าง ๆ เป็นสิ่งสำคัญ เพราะมีผลกระทบกับกับอัตราเงินเฟ้อ และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยยังมีผลกระทบต่อเงินทุนไหลเข้า-ไหลออกด้วย โดยธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงการคลังกำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งได้กำชับให้กระทรวงพาณิชย์ติดตามต่อเนื่อง เพื่อเฝ้าระวังไม่ให้เกิดผลกระทบกับประชาชนมากจนเกินไป
นายกรัฐมนตรียืนยันว่า ขอใช้เวลาที่มีอยู่ในการทำงานด้วยความรับผิดชอบอย่างเต็มที่เพื่อการแก้ไขปัญหาให้ประชาชนอย่างต่อเนื่อง และเพื่อให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย โดยไม่ก้าวล่วงอำนาจทางกฎหมายของหน่วยงานใด พร้อมขอความร่วมมือทุกคนปฏิบัติตนภายใต้บทบัญญัติของกฎหมาย หากกระทำผิดต้องได้รับการดำเนินการตรวจสอบอย่างเท่าเทียม เพราะทุกคนอยู่ภายใต้กฎกติกาและกระบวนการยุติธรรมเดียวกัน ไม่มีใครมีสิทธิพิเศษใดเหนือบุคคลอื่น พร้อมเน้นย้ำการทำงานที่สุจริต โปร่งใส และตรวจสอบได้
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยขอบคุณทุกฝ่ายที่ได้ช่วยกันทำข้อมูลให้รัฐบาลได้ชี้แจงให้ประชาชนรับทราบ และสร้างความเข้าใจให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้นในหลายประเด็น ซึ่งเรื่องใดที่เป็นประโยชน์รัฐบาลก็จะนำไปแก้ไข และปรับปรุงการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อประโยชน์ของประชาชน