สธ.ชี้ยารักษาโควิด-19 ผ่านการพิจารณาแล้ว มีประสิทธิผลการรักษาต่อผู้ป่วยตามข้อบ่งชี้
10 เม.ย. 2565, 19:54
วันนี้ ( 10 เม.ย.65 ) นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า กรมการแพทย์ได้จัดทำแนวทางเวชปฏิบัติ การวินิจฉัย ดูแลรักษา และป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับแพทย์และบุคลากรสาธารณสุข ฉบับปรับปรุง โดยความร่วมมือของคณาจารย์ ผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานต่าง ๆ และผู้แทนทีมแพทย์ที่ปฏิบัติหน้างาน และได้มีการปรับปรุงให้ทันต่อสถานการณ์ของโรคและผลการศึกษาวิจัยทั้งในและต่างประเทศเพื่อให้การรักษาผู้ป่วยโควิด 19 มีประสิทธิภาพสูงสุด ยืนยันกระทรวงสาธารณสุขได้มีการพิจารณานำยามาใช้รักษาผู้ป่วยโควิด 19 หลายประเภทผ่านการพิจารณาร่วมกันจากคณะทำงานเบื้องต้น โดยยาแต่ละประเภทมีประสิทธิผลในกลุ่มผู้ป่วยที่อาการแตกต่างกันตามข้อบ่งชี้ ในกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่มีอาการ อาการเล็กน้อย และไม่มีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการรุนแรง ควรให้การรักษาแบบผู้ป่วยนอก โดยแยกกักตัวที่บ้าน (Out-patient with self isolation) หรือ home isolation หรือสถานที่รัฐจัดให้ตามความเหมาะสม
ให้ดูแลรักษาตามอาการตามดุลยพินิจของแพทย์ เนื่องจากส่วนมากหายได้เอง กลุ่มผู้ป่วยผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง ไม่มีปอดอักเสบไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง/โรคร่วมสําคัญและภาพถ่ายรังสีปอดปกติ อาจพิจารณาให้ favipiravir ควรเริ่มยาโดยเร็ว หากตรวจพบเชื้อเมื่อผู้ป่วยมีอาการมาแล้วเกิน 5 วัน และผู้ป่วยไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยอาจไม่จําเป็นต้องให้ยาต้านไวรัส เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายได้เองโดยไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน นอกจากนี้ยังมีการให้ยาต้านไวรัสชนิดอื่น อาทิ Remdesevir Molnupiravir และNirmatrelvir/ritonavir การให้การรักษาขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วย ประวัติการรับวัคซีน ปัจจัยเสี่ยงของผู้ป่วย รวมทั้ง การพิจารณาชนิดของยาขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา
ทั้งนี้ โรคโควิด 19 ยังอยู่ในช่วงการแพร่ระบาดพบผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมากในประเทศไทย จึงขอแนะนำให้ประชาชนให้ความสำคัญกับการดูแลตนเองสวมหน้ากากอนามัยล้างมือบ่อยๆเว้นระยะห่างไม่เข้าไปอยู่ในบริเวณที่มีคนแออัดและที่สำคัญควรฉีดวัคซีนให้ครบตามจำนวน ซึ่งขณะนี้ประชาชนสามารถเข้าถึงการฉีดวัคซีนได้ง่ายขึ้น นอกจากสถานพยาบาลที่ให้บริการฉีดวัคซีนแล้ว ยังมีการฉีดวัคซีนในห้างสรรพสินค้าหรือจุดฉีดวัคซีนที่สำคัญต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงต่าง ๆไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว และหญิงตั้งครรภ์ เพื่อลดการป่วยรุนแรงและการเสียชีวิต