"หญิงสาว" ปวดท้องนาน 8 วัน หมอตรวจดูเจอ "พยาธิตัวโต" กัดกินตับหายไป
19 มี.ค. 2565, 15:29
นับว่าเป็นเรื่องราวที่มองข้ามไม่ได้เลย เมื่อเกิดอาการปวดท้องจนมีอาการข้างเคียงร่วมด้วย เพราะแสดงถึงความไม่ปกติของระบบภายในร่างกายของคนเรานั่นเอง อย่างเช่นหญิงสาวชาวจีนรายหนึ่ง ที่อาศัยอยู่ในเมืองกุ้ยหลิน ประเทศจีน ที่มีอาการปวดท้องส่วนบน โดยไม่ทราบสาเหตุมานาน 8 วันแล้ว รวมไปถึงมีอาการท้องบวม คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร เป็นต้น ทำให้ต้องรีบไปพบแพทย์เกี่ยวกับทางเดินอาหาร ซึ่งแพทย์ได้ทำการส่องกลองตรวจทางเดินอาหารและตับอ่อน ก็ได้พบกับสาเหตุที่ทำให้เธอปวดท้องจนได้ เนื่องจากท่อน้ำดีมีการขยายตัวผิดปกติ และอัตราส่วนหนึ่งในสามของตับถูกปรสิตหรือพยาธิขนาดประมาณ 3.5 X 2.0 ซม. กัดกินเข้าไป ทำให้ท่อน้ำดีภายในและภายนอกตับได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก
ทางด้าน เหอ เหว่ย รองหัวหน้าศัลยแพทย์ สาขาศัลยศาสตร์ตับ ตับอ่อนและทางเดินน้ำดี (Department of Hepatobiliary and Pancreatic Surgery) เปิดเผยว่า การติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับฟาสซิโอลาเป็นโรคปรสิตที่ค่อนข้างหายาก ส่วนใหญ่เกิดจากผู้ป่วยทานผักหรือหรือน้ำบางชนิดที่มีตัวอ่อนระยะเมตาเซอร์คาเรีย หรือน้ำที่ปราศจากการปรุง โดยสิ่งที่พบในตับของผู้ป่วยคือ พยาธิประเภท Fasciola hepatica ซึ่งมีลักษณะคล้ายใบไม้ ซึ่งตัวอ่อนของพยาธิ ได้เคลื่อนตัวผ่านลำไส้เล็กเข้าสู่ช่องท้อง และในที่สุดก็เคลื่อนตัวถึงตับพร้อมดูดซับสารอาหารจำนวนมากเข้าไป ในขณะเดียวกันก็ขับสารพิษออกมา ทำให้เกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตกกระจาย ไม่มีตัวดักจับเชื้อโรค เมื่อโตเต็มวัยจะปิดกั้นหลอดเลือดหรือท่อน้ำดีในตับ ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ ดังนั้น ควรระมัดระวังในการรับประทานอาหารดิบและไม่สะอาด ไม่ว่าจะเนื้อสัตว์หรือผักก็ตาม
ที่มา : Ettoday Yahoo