เปิดเส้นทาง "อรหันต์ลวงโลก" ตุ๋นชาวบ้านเกือบ 500 ราย ตั้งแก๊งแบ่งหน้าที่ออกไปหลอกเหยื่อ
30 เม.ย. 2564, 09:42
จากกรณีนางสาวอิสรีย์ อินทร์ไชยา หรืออู๋ อายุ 49 ปี เจ้าสำนักสถานปฏิบัติธรรมวิปัสสนาพระพุทธสักขี ตั้งอยู่เลขที่ 210 หมู่ 1 บ้านดงโชค ต.หนองญาติ อ.เมือง จ.นครพนม โดยนางสาวอิสรีย์แต่งกายนุ่งห่มจีวรเลียนแบบพระสงฆ์ อ้างว่าเป็นพระยาธรรมมิกราช ร่วมกับสาวกที่โกนหัวแต่งกายคล้ายแม่ชี ประกอบด้วยนางดรุณี จันทะนาม อายุ 45 ปีหรือทองพูนหรือพี่พอลลี่ นางสาวไพลิน สุนทรสุวรรณ อายุ 31 ปีหรือการ์ตูนหรือน้องน้ำตาล นางสาวมะลิวัลย์ เขื่อนขันธ์ อายุ 28 ปีหรือกาเต้ และนางกิติยา ชัยสุนิกร อายุ 46 ปีอาชีพเป็นครูโรงเรียนแห่งหนึ่งในอำเภอปลาปาก จ.นครพนม รวม 5 คน ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน โดยทั้งหมดถูกส่งตัวเข้าเรือนจำกลางนครพนม ซึ่งเหล่าสาวกทั้ง 4 คนมีญาติพยายามขอยื่นประกันตัวแต่ศาลจังหวัดนครพนมไม่อนุญาต ขณะที่นางสาวอิสรีย์เจ้าสำนักลวงโลกไร้เงาญาติมาเยี่ยมแม้แต่คนเดียว ส่วนสถานปฏิบัติธรรมยังคงมีผู้ที่เชื่อมั่นเคารพศรัทธาในตัวเจ้าสำนักประมาณ 6 คนอาศัยอยู่ โดยมีน้องปลายอายุ 34 ปีเป็นผู้ดูแล
จากการลงพื้นที่หาข้อมูลของผู้สื่อข่าว พบว่านางสาวอิสรีย์มาจากครอบครัวที่คนใน ต.หนองญาติ เคารพนับถือเป็นจำนวนมาก เนื่องจากนายจำนงค์ผู้พ่อเป็นอดีตข้าราชการครูที่มาจากมหาเปรียญธรรม โดยนางสาวอิสรีย์หายออกจากบ้านไปอยู่ต่างจังหวัดหลายปี กลับมาอีกครั้งตอนที่นายจำนงค์เสียชีวิต ช่วงนี้เองที่นางสาวอิสรีย์ใช้ความเป็นลูกสาวคนเล็กในจำนวนพี่น้อง 4 คนไปหานางสองผู้แม่ปัจจุบันอายุ 85 ปีที่มีสติหลงๆลืมๆ เพื่อขอให้เซ็นมอบอำนาจตั้งแต่เป็นผู้จัดการมรดก หลังนางสองเซ็นมอบอำนาจและได้เป็นผู้จัดการมรดกตามประสงค์ นางสาวอิสรีย์ได้แอบนำใบโฉนดบ้านไปจำนองขายฝากกับนายทุนในวงเงิน 5 ล้านบาทโดยญาติพี่น้องไม่รู้ระแคะระคายมาก่อน กระทั่งเวลาผ่านไป 3 ปีนายทุนได้มาขับไล่ให้ทั้งหมดออกจากบ้าน จึงเป็นเรื่องเป็นราวฟ้องร้องกันในชั้นศาลถึงปัจจุบัน
ด้านนางสาวอิสรีย์ปี 2557 ได้มาติดต่อขอซื้อที่ดินบริเวณดังกล่าวจำนวน 7 ไร่ ในราคา 1,300,000 บาท และปลูกเป็นบ้านพักที่อยู่อาศัยจากนั้นก็ไปยื่นขอบ้านเลขที่กับผู้ใหญ่บ้าน ก่อนจะแปลงสภาพเป็นสถานปฏิบัติธรรม และนางสาวอิสรีย์จากบุคคลธรรมดาก็เริ่มหันมาสวมชุดขาว กระทั่งเปลี่ยนชุดมาเป็นห่มจีวรสีแดงแต่งกายเลียนแบบสงฆ์ ตั้งตนเป็นเจ้าสำนักอ้างต่อลูกศิษย์ว่าตนเองบรรลุอรหันต์แล้ว เป็นพระยาธรรมิกราช อันเป็นราชาแห่งธรรมทั้งปวงที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ในพระไตรปิฎก
ไม่นานก็เริ่มมีคนเข้ามาในสถานปฏิบัติธรรม โดยมักจะทักท้วงคนนั้นคนนี้ว่ามีเคราะห์ จะต้องมาปฏิบัติธรรมเพื่อสะเดาะเคราะห์ ระหว่างนั้นเองก็นำเอาหินกรวดที่หาได้ทั่วไป อ้างว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุแจกจ่ายให้ผู้หลงเชื่อนำไปขึ้นหิ้งกราบไหว้บูชา
ทั้งนี้เจ้าสำนักมีวิธีชักจูงให้คนเข้ามาในสถานปฏิบัติด้วยการแจกเงิน ตั้งแต่ 200-6,000 บาท ห้วงนี้เองตัวละครที่เป็นสาวกก็โผล่ขึ้นมา ทั้งนางทองพูนหรือพี่พอลลี่ นางสาวกาเต้ นางกิติยา นางเพลิน และน้องการ์ตูนที่มาจากจังหวัดชลบุรี ซึ่งทุกคนจะต้องโกนหัวนุ่งห่มชุดขาวตามกฎที่เจ้าสำนักตั้งไว้ ยกเว้นนางกิติยาที่เป็นครูสอนหนังสือเพียงคนเดียว ทั้งหมดอ้างเป็นสะพานบุญแยกสายกันออกไปพบชาวบ้าน ว่ามีเทวดามาโปรดโดยจะสื่อสารผ่านพระยาธรรมิกราช ด้วยการแนะนำให้ตั้งกองสะสมบุญมีด้วยกัน 2 แบบ คือกองบุญเงินสดกองละ 2,700-3,000 บาท และกองบุญทองคำกองละ 3,500 บาท ไม่เกิน 10 วันจะได้รับผลตอบแทนเพิ่มเป็นหนึ่งเท่า ลงทุน 3,000 บาทได้คืน 6,000 บาท ลงทุน 3,500 บาท ได้ทองคำรูปพรรณ 1 สลึง โดยเฉพาะทองคำนั้นเทวดาจะเสกมาให้จากสวรรค์ จึงมีคนลงทุนทดลองกองสองกองและก็ได้ผลตอบแทนนั้นจริงๆ ทำให้เชื่อว่าเทวดามาโปรดจึงชักชวนเพื่อนหรือญาติมาร่วมลงทุนเพื่อหวังผลตอบแทนที่เพิ่มอีกหนึ่งเท่าตัว
ผู้ที่หลงเชื่อส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่อำเภอปลาปากและอำเภอท่าอุเทน บางคนลงทุนเป็นเงินหลายแสน รวมๆกันแล้วที่เชื่อว่าจะได้สิ่งของตามเจ้าสำนักกล่าวอ้างเกือบ 500 คน แต่ปรากฏว่าทุกคนรอเก้อสอบถามสายสะพานบุญก้อ้างไปต่างๆนาๆ ผู้ลงทุนเชื่อว่าถูกหลอกแน่จึงรวมตัวกันไปแจ้งความไว้ที่ สภ.กุตาไก้ สภ.ปลาปาก และ สภ.ท่าอุเทน หลังจากนั้นตำรวจก็จู่โจมจับเจ้าสำนักและสาวก ตรวจค้นในสถานปฏิบัติธรรมได้ตู้เซฟนิรภัย 3 ใบ เปิดออกดูมีเงินสด 4 หมื่นบาท โฉนดที่ดิน 3 ใบ และสมุดบัญชีธนาคารจำนวนหนึ่ง ทั้งนี้กลุ่มสาวกจะรวบรวมเงินเข้าบัญชีของนางสาวอิสรีย์ โดยมีน้องการ์ตูนทำหน้าที่กดเงินสดออกมามอบให้เจ้าสำนัก และเจ้าหน้าที่ตำรวจเตรียมจับกุมผู้ร่วมขบวนการเพิ่มอีกประมาณ 3 คน ข่าวคืบหน้าจะนำมาเสนอต่อไป