"นายกฯ" ร่วมประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 3 ย้ำ เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ-สร้างความมั่งคั่งของประชาชน
24 ส.ค. 2563, 11:29
วันนี้(24 ส.ค.63) ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 3 ผ่านระบบวิดีโอ คอนเฟอเรนซ์ โดยมี
นายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
นายทองลุน สีสุลิด นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
สมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโชฮุน เซน นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา
พล.อ.อู วิน มยิน ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
นายเหวียน ซวน ฟุก นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
ร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง
โดย นายทองลุน สีสุลิด นายกรัฐมนตรีลาว ในฐานะประธานร่วม กล่าวเปิดประชุม โดยกล่าวขอบคุณความช่วยเหลือระหว่างกันในช่วง โควิด-19 พร้อมชื่นชมมาตรการเพื่อป้องกันและควบคุมโรคของทุกประเทศ เชื่อมั่นว่า กรอบ MLC จะช่วยส่งเสริมความรุ่งเรืองในอนุภูมิภาค พัฒนาเศรษฐกิจ และสังคม ท่ามกลางความท้าทาย และร่วมกันปรับตัวเพื่อฟื้นฟูภายหลังช่วง โควิด-19
ต่อจากนั้นนายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีจีน ในฐานะประธานร่วมฯ กล่าวว่า ขอบคุณความร่วมมือของผู้นำทุกประเทศ ความร่วมมือ MLC เกิดจากความช่วยเหลือ ร่วมมือกันผ่านแหล่งน้ำ อนุภูมิภาคนี้จึงควรร่วมมือกันพัฒนาเศรษฐกิจผ่านการเชื่อมโยงทางการค้า แม้จะประสบกับความท้าทาย โควิด-19 ความร่วมมือยังดำเนินต่อเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนต่อไป
จากนั้น เป็นการกล่าวถ้อยแถลงของผู้นำประเทศที่เข้าร่วม ซึ่งในนามผู้นำประเทศไทย นายกรัฐมนตรีได้แสดงความยินดีและชื่นชมที่กรอบ MLC มีพัฒนาการและมีความร่วมมือเพิ่มขึ้นตามลำดับ แม้การประชุมครั้งนี้จะเป็นการหารือผ่านระบบทางไกล แต่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทุกฝ่ายที่จะสานต่อความร่วมมืออย่างต่อเนื่องในภาวะที่ทุกประเทศต้องเผชิญกับความท้าทายจากสถานการณ์โควิด-19 และถือเป็นอีกวาระหนึ่งที่จะร่วมกันพลิกวิกฤตให้กลายเป็นโอกาสที่จะยกระดับความร่วมมือและความเป็นหุ้นส่วนระหว่างกัน พร้อมเชื่อมั่นว่าปฏิญญาเวียงจันทน์จะสามารถย้ำเจตนารมณ์ร่วมของประเทศสมาชิก ทั้งด้านการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจและการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะกองทุนพิเศษในกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ซี่งไทยได้รับอนุมัติทั้งหมด 10 โครงการในปีนี้
“ท่ามกลางสภาวะความไม่แน่นอนดังกล่าว ประเทศไทยขอแสดงความชื่นชมสาธารณรัฐประชาชนจีนที่เป็น ตัวอย่างที่ดีในการบริหารจัดการความท้าทาย ด้วยการแสวงหาความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ กับประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มน้าโขงทั้งในกรอบทวิภาคี กรอบอนุภูมิภาค และกรอบอาเซียน ตลอดจนการแสดงบทบาท ที่สร้างสรรค์และเป็นรูปธรรมในกรอบพหุภาคี อาทิ ภายใต้ข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (BRI) และสนับสนุน การทางานขององค์การอนามัยโลก (WHO) การประชุมในครั้งนี้เป็นอีกวาระหนึ่งที่ MLC จะร่วมกันพลิกวิกฤตจากโควิด-19 ให้กลายเป็นโอกาสที่จะ ยกระดับความร่วมมือและความเป็นหุ้นส่วนระหว่างกัน โดยใช้จุดแข็งของกรอบความร่วมมือนี้ ซึ่งได้แก่ความยืดหยุ่น และเปิดกว้าง สามารถตอบรับกับสถานการณ์ใหม่ ๆ และเชื่อมั่นว่า ปฏิญญาเวียงจันทน์ซึ่งที่ประชุมจะให้ความ เห็นชอบต่อไป จะย้ำเจตนารมณ์ร่วมของพวกเราที่จะต่อยอดความร่วมมือทั้งด้านการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจและ การพัฒนาอย่างยั่งยืน ด้านสังคมและการมีปฏิสัมพันธ์ในภาคประชาชนตลอดจนพัฒนากลไกความร่วมมือที่มีอยู่ โดยเฉพาะกองทุนพิเศษกรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง ซึ่งในปีนี้ไทยได้รับอนุมัติทั้งหมด 10 โครงการ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวเน้นย้ำถึงสาขาความร่วมมือที่ไทยให้ความสำคัญและมีความพร้อมทั้งหมด 4 สาขา ได้แก่
1. การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ไทยสนับสนุนข้อริเริ่มในการติดตามประเมินผลความร่วมมือด้านการบริหารจัดการน้ำ ทั้งในพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ขยายความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณลุ่มน้ำโขง พัฒนาร่วมกับประสบการณ์และรูปแบบการดำเนินการที่ดีของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission – MRC) และสนับสนุนให้มีการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านทรัพยากรน้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันให้ความร่วมมือก้าวหน้าเห็นผลโดยเร็ว
2. ความมั่นคงด้านสาธารณสุข ไทยได้รับการยอมรับว่าจัดการ และควบคุมสถานการณ์โควิด – 19 เป็นผลจากความร่วมมือของประชาชน และนโยบายด้านสาธารณสุขที่ให้ความสำคัญกับความพร้อมของบุคลากรและโครงสร้างพื้นฐานทางการแพทย์ ความสามารถในการเข้าถึงบริการสาธารณสุขและยา ตลอดจนความพร้อมเมื่อเจอภาวะวิกฤต ซึ่งไทยพร้อมให้ความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาวัคซีนกับนานาชาติภายใต้กรอบ WHO โดยจะเร่งพัฒนาขีดความสามารถของไทยในการเป็นฐานการผลิตยาและวัคซีนของอนุภูมิภาค รวมทั้งเห็นพ้องกับประเทศสมาชิกว่า เมื่อผลิตวัคซีนสำเร็จประชาชนทุกภาคส่วนควรจะสามารถเข้าถึงได้
3. ยกระดับความเชื่อมโยงในอนุภูมิภาค ผ่านความร่วมมือในทุกมิติ ทั้งกายภาพ กฎระเบียบ และประชาชน ซึ่งไทยยินดีที่จะเปิดกว้างทางเศรษฐกิจ โดยต้องคำนึงถึงความสมดุลและความมั่นคงทางสาธารณสุขควบคู่กัน โดยเฉพาะด้านคมนาคมและโลจิสติกส์ พลังงาน ดิจิทัล และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อกระจายรายได้ไปสู่พื้นที่ที่ห่างไกลจากระเบียงเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง รวมไปถึงการเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจต่าง ๆ เช่น อาเซียน ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อิรวดี – เจ้าพระยา – แม่โขง (ACMECS) ข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (BRI) เป็นต้น
4. การฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 (Post Covid-19 Economic Recovery) เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นว่า ปัจจัยสำคัญที่จะเป็นการวางรากฐานทางเศรษฐกิจที่มั่นคงและยั่งยืนคือการสร้าง ความยืดหยุ่น (Resilience) ให้ภาคเอกชน ผ่านการสนับสนุนภาคธุรกิจเอกชน โดยเฉพาะกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดเล็ก และรายย่อย (MSMEs) พร้อมช่วยพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศสมาชิก และสนับสนุนให้ประเทศใน MLC ร่วมกันกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจระหว่างกัน ทั้งการค้าชายแดน การท่องเที่ยว และการไปมาหาสู่ของประชาชน โดยคำนึงถึงความสมดุลกับความมั่นคงด้านสาธารณสุข
ในตอนท้ายพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวย้ำว่า การประชุมครั้งนี้ถือเป็นการร่วมแสดงเจตจำนง และความแน่วแน่ร่วมกันของประเทศสมาชิกที่จะเผชิญหน้ากับความท้าทายต่าง ๆ โดยเปลี่ยนวิกฤตที่ทุกประเทศกำลังเผชิญอยู่ ให้เป็นโอกาสในการร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด สร้างสรรค์ และต่อเนื่อง เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเจริญเติบโต เสถียรภาพ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และเพื่อการพัฒนาและความมั่งคั่งของพลเมือง โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง