รวบ "ไอ้ชาติ ท่าผา" ฆาตกรรมโหดหนุ่มใหญ่ ก่อนปั่นจักรยานหนี ทิ้งร่างเน่าคาห้อง
16 ส.ค. 2563, 10:48
วันนี้ 16 ส.ค. 2563 ผู้สื่อข่าว ONB news รายงานว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 10 ส.ค.63 ที่ผ่านมา พ.ต.ต.สุดเขตต์ พิมพากุล วารวัตรเวรสอบสวน สภ.หนองรี อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี ได้รับแจ้งจาก รปภ.ประจำจุดบ้านพักของโรงงานน้ำตาลชื่อดังแห่วหนึ่งตั้งอยู่หมู่ที่ 6 ต.หลุมรัง อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี ว่าเกิดเหตุพบศพนายบุญทัด ละว้า อายุ 50 ปี อยู่บ้านเลขที่ 305 หมู่ 1 ต.บ่อพลอย อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี พนักงานในตำแหน่งช่างซ่อมบำรุงของโรงงาน เสียชีวิตอยู่ภายในห้องพักคนคนงาน
ในสภาพศพที่ร่างกำลังเน่าเปื่อยส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งไปทั่วบริเวณ จึงรายงานให้ พ.ต.อ.ยุทธ เกิดเรือง ผกก.สภ.หนองรี และ พ.ต.ท.เชวง สังข์ทอง รอง ผกก.หน.สอบสวนฯ ทราบเรื่อง พร้อมทั้งประสานเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานจังหวัดฯ ร่วมกับแพทย์เวร รพ.บ่อพลอย และเจ้าหน้าที่มูลนิธิสมาคมบ่อพลอยร่วมใจ เดินทางไปร่วมชันสูตรพลิกศพและตรวจหาหลักฐานในที่เกิดเหตุอย่างละเอียด พร้อมทั้งส่งศพนายบุญทัด ผู้ตายไปที่ รพ.ศูนย์นครปฐมเพื่อให้แพทย์แผนกนิติเวชฯ ทำการผ่าพิสูจน์เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิต
หลังจากที่แผนกนิติเวชฯ รพ.ศูนย์นครปฐม มีหนังสือรับรองการตายของนายบุญทัด ว่าเป็นการถูกฆาตกรรม ตามร่างกายมีบาดแผลถูกแทงด้วยของมีคมที่บริเวณหน้าอกรวม 6 แห่ง รวมทั้งที่ลำคอมีร่องรอยถูกเชือดด้วยของมีคมจนหลอดลมขาด และทาง พล.ต.ท.ธนา ชูวงษ์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 7 ได้รับรายงาน จึงได้สั่งการให้ พล.ต.ต.วรณัน สุขเจริญ ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี สั่งการให้ พ.ต.อ.ศุภวัชร อังคสยาวัฒน์ ผกก.สส.ภ.จว.กาญจนบุรี สั่งการให้ พ.ต.ต.จารุเกียรติ อตมศรีประเสริฐ นำกำลังตำรวจชุด กก.สส.ชป.5 สนธิกำลังร่วมกับ พ.ต.อ.สุภาพ วัยนิพิฐพงษ์ ผกก.สส.1 บก.สส.ภาค 7 และเจ้าหน้าที่ กก.สส.ภ.7 ประสานกำลังตำรวจชุดสืบสวน สภ.หนองรีฯ แยกย้ายกันออกสืบสวนหาข่าวและเบาะแสข้อมูลของผู้ตาย และของคนร้าย
แนวทางการสอบสวนของตำรวจเบื้องต้นได้เชิญพี่ชาย น้องชายน้องสาวรวมทั้งญาติและพยานแวดล้อมมาทำการสอบปากคำรวมทั้งตรวจสอบกล้องวงจรปิดภายในบ้านพัก รวมทั้งตรวจสอบทรัพย์สินและเงินสดที่อยู่ในกระเป๋าสะพายของผู้ตายที่มีบัตรเอทีเอ็ม.หายไป
ทางการสอบสวนพุ่งประเด็นไปที่การฆ่าเพื่อชิงทรัพย์ เนื่องจากมีเบาะแสว่า ผู้ตายปล่อยเงินกู้ให้กับคนงานภายในโรงงาน จึงตรวจสอบเรื่องการเงินของผู้ตาย หลังพบศพมีการนำบัตรเอทีเอ็ม.ไปกดเงินในบัญชีธนาคาร 3 ธนาคาร รวมเป็นเงินแสนกว่าบาท จึงติดต่อไปยังธนาคารเพื่อขอดูภาพจากกล้องวงจรปิดหน้าตู้เอทีเเอ็ม.จนกระทั่งทราบว่า มีการนำบัตรเอทีเอ็ม.ไปเงินในบัญชีของผู้ตายรวมซึ่งผู้ตายเขียนเลขรหัสไว้ที่ซองบัตรจำนวนถึง 3 ครั้ง
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงประสานไปยังธนาคารเพื่อขอตรวจสอบดูภาพจากกล้องวงจรปิดหน้าตู้เอทีเอ็มพบว่า ผู้ที่นำบัตรไปกดเงินจากตู้ คือนายอภิชาติ พาจันทร์ หรือ"ชาติท่าผา"อายุ 44 ปี คนงานในโรงงานน้ำตาลนั่นเอง เจ้าจึงไปเชิญตัวมาทำการสอบสวนปากคำ เบื้องต้นนายอภิชาติ ได้ให้การปฎิเสธ แต่ สุดท้ายจนมุมด้วยหลักฐานภาพจากกล้องวงจรปิด ยอมรับสารภาพว่า ก่อนหน้านี้เคยมีห้องพักอยู่ใกล้กับผู้ตาย แต่ต่อมาได้ย้ายไปพักห้องหักอีกโซนหนึ่ง แต่ก็ยังติดต่อกับผู้ตาย เคยไปนั่งกินเบียร์กับผู้ตายบ่อยๆ จนกระทั่งรู็ว่า ผู้ตายมีเงินและปล่อยเงินกู้ให้กับคนในโรงงาน
จึงคิดวางแผนฆ่าผู้ตายเพื่อเอาเงินโดยวันที่ 6 ส.ค.ช่วงเย็นได้นั่งกินเบียร์กับเพื่อน เพื่อย้อมใจให้กล้า จนกระทั่งช่วงดึกได้ไปเคาะประตูเรียกผู้ตายที่หน้าห้องโดยพกมีดสปาต้าไปด้วย พอคนตายเปิดประตูออกมาก็ใช้มีดจ้วงแทงผู้ตายที่หน้าอกทันที ผู้ตายวิ่งหนีไปตรงห้องครัวด้านหลัง จึงแทงซ้ำไปที่หน้าอกหลายครั้งและใช้มีดปาดคอผู้ตายไป 2 ทีจนผู้ตายล้มลงจมกองเลือด จากนั้นล้างไม้ล้างมือ หยิบฉวยได้กระเป๋าสะพายที่ผู้ตายพกพาไปไหนมาไหนอยู่เป็นประจำเพราะคิดว่าภายในกระเป๋ามีเงินจำนวนมาก
จากนั้นก็ปั่นรถจักรยานกลับไปที่ห้องพัก เอากระเป๋ามาเปิดดูพบว่า ภายในมีเงินสดอยู่แค่ 200 บาท แหวนทอง 1 วง บัตรเอทีเอ็ม.3 ธนาคาร บัตรเอทีเอ็ม.แต่ละใบ ผู้ตายได้จดหมายเลขรหัสเสียบไว้ที่ซองพลาสติก พอตอนสายไม่ได้ไปทำงาน ขี่รถ จยย.ไปกดเงินและหลบหนีไปบ้านที่ ต.ท่าผา อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ระหว่างทางนำมีด สปาต้าที่ใช้ก่อเหตุไปขว้างทิ้งในคลองชลประทานแถว ต.ดอนขมิ้น อ.ท่ามะกาฯ ส่วนกระเป๋าสะพายได้นำไปทิ้งไว้ที่กองขยะปากทางเข้าบ้านพักคนงาน ส่วนบัตรเอทีเอ็ม.หลังจากกดเงินเสร็จ ได้นำไปเผาทิ้งจนกระทั่งมาถูกตำรวจจับ
ส่วนสาเหตุที่ต้องฆ่าเพราะกำลังเดือดร้อนเงินมากตั้งแต่ข่วงโรคโควิด-19 ระบาด ค้างค่าผ่อนรถ ค้างค่าผ่อนบ้านจึงต้องตัดสินใจทำแบบนี้ หลังตำรวจทราบข้อมูลหลักฐาน จึงสอบปากคำและรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติหมายจับจากศาลจังหวัดกาญจนบุรี และควบคุมตัวนายอภิชาติ พาจันทร์ หรือ"ชาติท่าผา"มือฆ่าจอมโหดไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพก่อนจะควบคุมตัวส่งดำเนินคดีตามกฎหมาย
ท่ามกลางบรรยากาศผู้คนรวมทั้งคนงานในโรงงานที่ทราบข่าวต่างมามุงดูการนำตัวผู้ต้องหามาทำแผนประกอบคำรับสารภาพเป็นจำนวนมาก โดยทางโรงงานน้ำตาล ได้สั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดถ่ายภาพ โดยเฉพาะห้ามไม่ให้ผู้สื่อเข้าไปยังบริเวณบ้านพักโดยเด็ดขาด เนื่องจากกลัวโรงงานจะเสียชื่อเสียง ส่วนศพญาติตั้งสวดเพียงคืนเดียวทำการเผาเลย เนื่องจากเน่าส่งกลิ่น