นายกฯ ขอให้ทุกฝ่ายเน้นทำความเข้าใจ ปชช. คุมเข้มป้องกันโรค ไม่มีอนุโลมให้ VIP
22 ก.ค. 2563, 17:29
วันที่ 22 ก.ค. 63 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) โดยขอให้ทุกฝ่ายช่วยกันชี้แจง ทำความเข้าใจกับประชาชนทุกช่องทาง ภายหลังเกิดเหตุการณ์ที่จังหวัดระยอง นายกรัฐมนตรีได้ลงพื้นที่ทันทีเพื่อตรวจสถานการณ์และสร้างขวัญกำลังใจแก่ประชาชน ซึ่งประชาชนคาดหวังกับเหตุการณ์ที่กำลังดีขึ้นโดยเฉพาะเตรียมตัวรับนักท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดยาวที่กำลังจะมาถึง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงกระทบกับเศรษฐกิจในจังหวัดค่อนข้างมาก แต่ผลการตรวจสอบสวนโรคกระทำได้อย่างดี มีการให้บริการของรถตรวจโรคติดเชื้อชีวนิรภัยซึ่งเป็นรถพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย ทั้งนี้ขอให้ทุกภาคส่วนช่วยกันเยียวยา โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง พิจารณาจัดกิจกรรมการประชุม สัมมนา ส่งเสริมการท่องเที่ยวต่าง ๆ ตามที่ภาคเอกชนในจังหวัดระยองได้ร้องขอด้วย
ด้านสถานการณ์การชุมนุม เป็นอีกเหตุการณ์ที่น่าเป็นห่วงต่อสถานการณ์การแพร่ระบาด โดยขอให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการอย่างเข้มงวดรอบคอบ ทั้งฝ่ายมั่นคง และสาธารณสุขต้องดูแล ไม่ละเลยมาตรการป้องกันโรค โดยภาครัฐต้องส่งเสริมช่องทาง และเปิดโอกาสให้แสดงความเห็นอย่างสันติ
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ให้นโยบายเกี่ยวกับ ประเด็นการอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาในราชอาณาจักร ยังอยู่ในช่วงเตรียมการ ขอประชาชนอย่าตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขอให้ทุกฝ่ายสร้างการรับรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง พัฒนาปัจจัยความพร้อมในการดำเนินการ โดยขอให้จัดทำสื่อ infographic ประชาสัมพันธ์เพื่อชี้แจงให้ประชาชนทราบ ให้ประชาชนมีความเข้าใจที่ถูกต้อง และทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทุกเวลา เพื่อคลายความตระหนกและป้องกันการเผยแพร่และขยายผลของข่าวปลอมอีกช่องทางหนึ่ง
ส่วนการนำแรงงาน 3 สัญชาติ (ลาว เมียนมา กัมพูชา) กลับเข้ามาทำงาน นายกรัฐมนตรีสั่งการให้กระทรวงแรงงานพิจารณาวางแผนการนำเข้าในรายละเอียดตามห้วงเวลาที่เหมาะสม แบ่งกลุ่มจัดลำดับตามความจำเป็น และปฏิบัติตามมาตรการที่ ศบค. กำหนดโดยลำดับความเร่งด่วนของแรงงานตามกลุ่มธุรกิจที่มีความจำเป็น และมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ ตามลำดับเวลา (Timeline) เพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินการ ณ บริเวณด่านช่องทางเข้าราชอาณาจักรที่ได้รับอนุญาตไว้ รวมถึงขีดความสามารถในการตรวจคัดกรองโรคต่อวัน โดยจะต้องเข้มงวดกับมาตรการในการขนส่งแรงงานไปสถานที่กักกันโรค ซึ่งจะต้องควบคุมให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันโรค ส่วนบุคคลต่างด้าวที่หลบหนีเข้าเมือง ขอให้ทุกฝ่ายดำเนินการอย่างเข้มงวด ระมัดระวัง ไม่ปกปิดข้อมูล และพร้อมชี้แจงในทุกรายละเอียด
ส่วนการช่วยเหลือเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรีสั่งการให้กระทรวงการคลัง และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ติดตามการช่วยเหลือให้ครอบคลุมทั่วถึงทุกกลุ่ม และกำหนดมาตรการเพื่อสร้างงานสร้างอาชีพ ให้เพียงพอรองรับแรงงานที่ต้องการทำงาน และเร่งสร้างทักษะใหม่เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางอาชีพหรือลักษณะการทำงานที่จะเปลี่ยนแปลงไป
ด้านความก้าวหน้าในการสนับสนุนวัคซีนโรคโควิด – 19 ในประเทศไทย นายกรัฐมนตรีพร้อมสนับสนุนงบประมาณในการคิดค้นและผลิตวัคซีน โดยการพัฒนาวัคซีนมีพัฒนาการอย่างมากทั้งในต่างประเทศ และในประเทศไทย โดยต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับภาครัฐ และภาคเอกชนในไทยกับภาคเอกชนในต่างประเทศ โดยประเทศไทยมีผู้ผลิตที่มีศักยภาพที่จะผลิตวัคซีนนี้ จากต้นน้ำถึงปลายน้ำ และได้มาตรฐานสากล
ส่วนการพิจารณาความเหมาะสมในการขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรนั้นสภาความมั่นคงแห่งชาติพิจารณาเห็นว่า ในภาพรวมทั่วโลกยังคงมีการระบาดที่รุนแรง มีคนไทยจากต่างประเทศและชาวต่างชาติที่ได้รับการผ่อนผันเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรต่อเนื่อง นอกจากนี้ มาตรการผ่อนคลายภายในประเทศที่ดำเนินการอยู่ เป็นกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูงต่อการแพร่ระบาดของโรค จึงจำเป็นต้องกำกับดูแลโดยเจ้าหน้าที่รัฐตามกฎหมายเชิงป้องกันในการแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพ ต้องมีระบบการบริหารในลักษณะการรวมศูนย์ที่เป็นเอกภาพและมีประสิทธิภาพ และอำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จะเป็นเครื่องมือเตรียมความพร้อมประเทศในช่วงการเปลี่ยนผ่านไปสู่ฐานชีวิตใหม่ ในส่วนนี้นายกรัฐมนตรีขอให้ทำความเข้าใจว่ารัฐบาลไม่ได้อนุญาตหรืออนุโลมให้ VIP การปฏิบัติเป็นไปตามข้อกำหนดและความจำเป็น และมีมาตรการเข้มข้นขึ้น
ด้านการจัดทำข้อตกลงพิเศษ (Special Arrangement) มีกลุ่มเป้าหมาย คือ กลุ่มนักธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญ ที่เดินทางเข้าไทยในระยะสั้นไม่เกิน 14วัน และพิจารณาภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด
การพิจารณาการเตรียมความพร้อมเพื่อผ่อนคลายการบังคับใช้กฎหมายในอนาคต ซึ่งที่ประชุมได้มอบหมายกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยพิจารณารายละเอียดที่เกี่ยวข้องร่วมกับคณะกรรมการเฉพาะกิจ และกระทรวงสาธารณสุข โดยนายกรัฐมนตรีสั่งการให้กำหนดข้อปฏิบัติอย่างชัดเจน ควบคุม ติดตามตัวผู้เดินทางเข้าประเทศได้