นายกฯ แจง พ.ร.ก.เงินกู้ เพื่อเยียวยาฟื้นฟูประเทศให้เข้มแข็ง ย้ำมีกรอบชัดเจน
28 พ.ค. 2563, 19:17
วันนี้ ( 28 พ.ค.63 ) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 โดยกล่าวถึงกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าขณะนี้ไทยเปิดโอกาสให้ผู้อยู่ต่างประเทศเดินทางเข้ามามากขึ้นอาจทำให้มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(โควิด-19)เพิ่มขึ้นนั้นยืนยันว่าจะต้องสอดคล้องกับการดูแลรักษาและสถานที่กักกัน ส่วนที่มองว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนนั้น เห็นว่าสิ่งที่ควรเท่าเทียมกันคือการเท่าเทียมในเรื่องของกฎหมาย ที่ต้องดูแลทุกคน รัฐบาลต้องหาวิธีการที่เหมาะสม
ที่ผ่านมาการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ประเทศไทยทำได้ดี ต่างประเทศก็ชื่นชม ในขณะที่ประชาชนลำบาก ในฐานะนายกรัฐมนตรีก็ไม่สบายใจต้องรับผิดชอบ แต่เรื่องสิทธิประโยชน์ต่างๆได้เยียวยาไปหมดแล้ว งบประมาณปกติมีอยู่ ยืนยันรัฐบาลไม่เก็บเงินไว้โดยปล่อยให้บางคนไม่ได้เงิน
สำหรับเงินเยียวยาให้กับเด็กนั้น ก็ต้องมีการขึ้นทะเบียน ทุกอย่างต้องมีกฎเกณฑ์ มีหลักเกณฑ์ ยอมรับว่าทุกคนเสียภาษี ทุกคนเป็นหนี้ นายกรัฐมนตรีก็เป็นหนี้ด้วย ก็ต้องชดใช้ด้วยการทำประโยชน์ให้มากขึ้นให้สามารถชดใช้หนี้ได้ ซึ่งการเป็นหนี้ครั้งนี้ก็เพื่อรักษาเยียวยา ฟื้นฟูให้ประเทศเข้มแข็ง มีกรอบขั้นตอนที่ชัดเจน อยู่ที่วิธีการ ขอให้เข้าใจวิธีการบริหาร หากทุกคนต้องการให้รัฐจ่ายเงินอย่างรวดเร็วต้องไปดูเรื่องทะเบียน ต้องรู้จักหน้าที่ในการลงทะเบียนหรือแก้ไขทะเบียนให้ถูกต้องก่อน รัฐพร้อมเยียวยาทั้งหมดแต่ก็ต้องปาวิธีการไม่ให้ซ้ำซ้อน เงินเยียวยาทั้งหมดเพื่อใช้ในการดำรงชีพ 3 เดือน ไม่ใช่เอาเงินไปผ่อนมอเตอร์ไซค์ ที่บอกว่าเป็นหนี้ ก็เป็นกันทุกคน ต้องไปดูว่าจะปรับเปลี่ยนตัวเองอย่างไรด้วย
สำหรับการดูแลนักศึกษานั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รู้สึกเห็นใจ แต่เมื่อมีจำนวนมาก ก็ต้องเริ่มจากรายชื่อที่อยู่ในระบบก่อน ส่วนการเรียนออนไลน์เป็นนโยบายที่ให้กระทรวงศึกษาธิการไปหาแนวทางให้นักเรียนไม่ลืมการเรียน กรณีมีปัญหาค่าใช้จ่ายกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมก็ดูแลให้ ขอให้ไปดูว่าที่ผ่านมารัฐบาลดำเนินการอะไรไปแล้วบ้าง รัฐบาลพร้อมรับฟังข้อเสนอแนะของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ต้องร่วมกันหาแนวทางแก้ปัญหา