เรื่องเล่าจากหมอจุฬาฯ "แท็กซี่หญิง" ป่วยโควิด-19 รายได้หาย สามีกับลูกโดนไล่ออกจากที่พัก
3 เม.ย. 2563, 12:41
เป็นอีกเรื่องราวสะท้อนปัญหา ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโควิด-19 หลังรายได้ขาดจากการทำงาน และถูกสังคมตีตราว่าติดเชื้อจนไล่คนใกล้ชิดออกจากที่พักแบบไม่มีหนทาง เรื่องราวต่อไปนี้ถูกเผยแพร่จาก ผศ.นพ.(พิเศษ)โอภาส พุทธเจริญ หัวหน้าศูนย์โรคอุบัติใหม่ด้านคลินิก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ที่ระบุไว้ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยมีรายละเอียดดังข้อความด้านล่าง
"เรื่องเล่าจากวอร์ดโควิด
เคสหนักที่โรงพยาบาลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ห้องไอซียูก็ต้องขยายจากที่เตรียมไว้ 4 เตียง ตอนนี้ต้องเตรียมเพิ่มขึ้นเพื่อรับผู้ป่วยได้ถึงเกือบ 20 คน เรากำลังเปลี่ยนตึกทั้งตึกเป็นไอซียูสำหรับเคส COVID ที่อาการหนัก นอกเหนือไปจากจากวอร์ดปกติ 4 วาร์ดที่มีคนไข้โควิดแน่นอยู่แล้ว
เมื่อวันก่อนมีเคสนึงใส่ท่อช่วยหายใจเพราะปอดอักเสบรุนแรง ตอนเช้าไปราวน์กับเรสสิเดนท์ รู้ว่าคนไข้เป็นคนขับแท็กซี่ผู้หญิงอายุสี่สิบปี น่าจะติดจากการสัมผัสนักท่องเที่ยว ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเราไม่ค่อยเห็นผู้หญิงมาขับรถรับจ้าง เลยให้เรสสิเดนท์รีบโทรไปถามครอบครัวว่ามีปัญหาอะไรบ้างมั้ย ได้ความว่าตั้งแต่คนไข้มาอยู่โรงพยาบาลก็หยุดงาน รายได้ทั้งหมดหายไป สามีขับรถรับจ้างได้เงินรายวัน ตอนนี้ต้องหยุดงานตั้งแต่มีการระบาด มีลูกเล็กๆ สองคน ห้าขวบกับสองขวบ พอภรรยาติดโควิดก็ถูกไม่ให้อยู่ที่ห้องเช่าเพราะคนกลัวว่าติดโควิดมาจากภรรยา ต้องระเห็ดออกมาอยู่บ้านที่เถ้าแก่ที่กำลังสร้างไม่เสร็จ ใช้เงินเก็บที่มีอยู่สามพันบาท ยังไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อ
พอรู้เรื่องเสร็จทุกคนช่วยกันทันที ตามแก็งค์พ่อลูกมา swab และให้นอนที่โรงพยาบาลรวมกันไปก่อน โชคดีที่ผลตรวจไม่เจอเชื้อโรคโควิดทั้งสามคน สิ่งที่ต้องรีบทำก็เพื่อออกใบยืนยันแล้วทางครอบครัวจะได้ไม่ถูกตีตราจากคนอื่น (จริงๆ ถ้าสังคมเข้าใจเราไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดตามครอบครัวของคนไข้มา swab เพราะถ้าเขากักตัว 14 วันไม่ออกไปไหนก็จะไม่ไปแพร่กระจายเชื้อให้ใคร) ช่วยลงทะเบียนช่วยเหลือ ระดมทุนมาช่วยในช่วงสามเดือนถัดจากนี้ ส่วนภรรยาตอนนี้นอนอยู่ไอซียูทางทีมช่วยกันดูแลอย่างเต็มที่
เคสนี้เคสเดียวสะท้อนหลายๆ มุมที่เราก็ยังต้องแก้ไขหรือมองข้าม สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือความเข้าใจเรื่องการติดต่อโรค การตีตราคนไข้และญาติของคนไข้ ยังมีเรื่องปัญหาสุขภาพที่มันผูกติดกับเศรษฐกิจและสังคม สิ่งที่ต้องการในตอนนี้คือทำให้การระบาดอยู่สั้นที่สุด เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อเนื่องและวงกว้าง ช่วยกันทำ social distancing ให้มากที่สุด เมื่อโรคหยุดระบาดทุกสิ่งทุกอย่างจะค่อยๆฟื้นกลับมาใหม่ สร้างความเห็นอกเห็นใจกันในสังคมทั้งให้กับคนไข้และบุคคลากรที่กำลังช่วยดูแลคนไข้
ผมว่ากำลังใจมาที่บุคคลากรทางการแพทย์มีมากมายพอแล้ว ตอนนี้สิ่งที่ต้องการคือช่วยกันเข้าใจโรคและเห็นใจคนไข้ด้วยครับ"