นพ. ดนัย ธีวันดา รองอธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ให้ข้อมูลว่า กรณีน้ำร้อนในหม้อหุงข้าวตามศูนย์อาหารทั่วไปนั้น ซึ่งจะมีอุณหภูมิแค่ 40-50 องศา เป็นความร้อนที่ไม่สามารถฆ่าเชื้อโรคได้ แล้วการต้มน้ำทิ้งไว้ทั้งวัน หากยิ่งไม่มีการเปลี่ยนน้ำร้อนทุกๆ ชั่วโมง ยิ่งจะเป็นการเพิ่มจำนวนเชื้อโรคทั้งแบคทีเรีย ไวรัส และพวกเชื้อโรคที่ทนต่อความร้อนก็จะยิ่งรวมตัวกัน ซึ่งหากได้รับเชื้อโรคพวกนั้นก็นำไปสู่โรคทางเดินระบบอาหาร โดยเฉพาะโรคท้องร่วง แถมบางที่ใช้หม้อหุงข้าวประเภทที่เคลือบผิวภาชนะด้วยเทฟลอน เซรามิค จะมีความเสี่ยงเพิ่มที่อาจได้รับสารโลหะจำพวกตะกั่ว และโครเมียม สำหรับการลวกช้อนส้อมในหม้อต้มน้ำเพื่อฆ่าเชื้อโรคนั้น สามารถทำได้จริง แต่อุณหภูมิน้ำต้องสูงถึง 80-90 องศา แล้วใช้เวลาอย่างน้อย 4 นาที ถึงจะสามารถฆ่าเชื้อโรคได้

“จริงๆ หากจะใช้หม้อหุงข้าวเล็กๆ ต้มน้ำ และไม่แน่ใจว่าอุณหภูมิสูงถึงฆ่าเชื้อโรคได้หรือไม่ ก็ต้องหมั่นเปลี่ยนน้ำร้อนนั้นๆ ทุกชั่วโมง เพราะถ้าแช่ไว้ทั้งวัน ก็ยิ่งจะเป็นการเพิ่มจำนวนเชื้อโรค พวกเชื้อโรคที่ทนต่อความร้อนก็จะยิ่งรวมตัวนั้น หากเป็นไปได้ก็ควรหันมาใช้หม้อเฉพาะโดยตรงที่ปรับอุณหภูมิได้ โดยราคาแม้จะสูงกว่า แต่หากตั้งในศูนย์อาหารก็น่าจะรวมกันซื้อ หรือเป็นสวัสดิการของเจ้าของศูนย์อาหารนั้นๆ ในการจัดหาไว้ ซึ่งก็จะเป็นเรื่องดีเพิ่มความเชื่อมั่นได้ แต่หากไม่มีจริงๆ ก็อาจไม่ต้องใช้เลยก็ได้ น่าจะเสี่ยงน้อยที่สุดแล้ว” รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวเพิ่มเติม

 

สำหรับกระบวนการที่สำคัญที่สุดในการล้างทำความสะอาดภาชนะ ช้อน ส้อม ให้สะอาด ตามหลักสุขาภิบาล เป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญ เพราะหากสะอาดตั้งแต่ต้นทาง ไม่จำเป็นต้องจุ่มน้ำร้อนเพื่อฆ่าเชื้อโรค ซึ่งสามารถทำได้ด้วย 3 ขั้นตอน ดังนี้

1. ขจัดเศษอาหาร และล้างด้วยน้ำผสมน้ำยาล้างจาน
2. ล้างด้วยน้ำสะอาดอย่างน้อย 2 ครั้ง
3. ฆ่าเชื้อโรคด้วยการทำให้แห้งโดยตากแดด หรืออบด้วยความร้อน

ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมจากกระทรวงสาธารณสุข สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.moph.go.th หรือโทร. 02 5901000