ศึกสายเลือด!! "นายสมชาย" เจ้าของ "สตาร์มาร์คแมนูแฟคเชอร์ริ่ง” โดนโกงหุ้น เตรียมขึ้นศาล 20 มิ.ย. นี้
19 มิ.ย. 2562, 18:08
วันที่ 19 มิ.ย. 2562 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ บก.ป. นายสมชาย ศรีสกุลภิญโญ ผู้ก่อตั้งบริษัท สตาร์มาร์คแมนูแฟคเชอร์ริ่ง จำกัด ผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้ เครื่องหมายการค้า “สตาร์มาร์ค” รายใหญ่ของประเทศ เดินทางเข้าพบขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามที่ทำคดีที่เขาถูกน้องๆ รวมหัวกันฉ้อโกงหุ้นบริษัทฯ โดยมี พ.ต.ท.สุชาติ อิ่มสวัสดิ์ รอง ผกก.หัวหน้าพนักงานสอบสวน กก.5 บก.ป. รับมอบในนาม พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ ผกก.5 บก.ป. ที่ทำคดีที่เขาถูกน้องๆ รวมหัวกันฉ้อโกง ที่แจ้งความต่อ กก.5 บก.ป. เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 2558 ดำเนินคดีกับพี่น้องและพวก ประกอบด้วย นายพีรพัฒน์ หรือพัฒน์ปกรณ์ ศรีสกุลภิโญ นายธวัชชัยหรือธนัฏฐ์โชค ศรีสกุลภิญโญ น.ส.นันทนาหรือณัฐปภัสร์ ศรีสกุลภิญโญ นายพันศักดิ์ วสันตกิจกำจร และนางกรองกาญจน์หรือจารวี อารยะญาณหรือชลัมพ์ภากร รวม 5 คน ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกง โดยผู้ต้องหาทั้ง 5 ให้การปฏิเสธ ขอไปให้การในชั้นศาล พนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานแล้ว ส่งสำนวนให้พนักงานอัยการ พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีศาลแขวง 1 มีความเห็นสั่งฟ้อง นายพีรพัฒน์ หรือ พัฒน์ปกรณ์ ศรีสกุลภิโญ กับพวก รวม 4 คน ต่อศาลแขวงพระนครเหนือ ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกง โดยศาลนัดสืบพยานโจทก์ปากแรกวันที่ 20 มิ.ย. 2562 เวลา 09.00 น. ณ ห้องพิจารณาคดี ศาลแขวงพระนครเหนือ ถนนรัชดาภิเษก
คดีนี้ นายสมชาย ผู้ก่อตั้ง "สตาร์มาร์ค" มีความจำเป็นต้องแจ้งความดำเนินคดีกับบรรดาน้องชาย น้องสาว และพวกรวมทั้งสิ้น 5 คน สืบเนื่องมาจากโดนผู้ต้องหาที่เป็นน้องๆ กับพวก ใช้กลอุบายร่วมกันหลอกลวงเอาหุ้นบริษัท สตาร์มาร์คแมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ที่นายสมชายเป็นผู้ก่อตั้งมาเมื่อ 40 ปีก่อน ตั้งแต่เปิดเป็นร้านค้าชื่อ “เพชรเกษมเครื่องเรือน” (พ.ศ.2520) ก่อนเปลี่ยนเป็น “หจก.เพชรเกษมเครื่องเรือน” (พ.ศ.2523) จากนั้นเปลี่ยนเป็นบริษัท สตาร์มาร์คแมนนูแฟคเชอร์ริ่ง จำกัด (พ.ศ.2534) มีโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ ในนิคมอุตสาหกรรมสมุทรสาคร โดยเริ่มต้น นายสมชาย ได้จดทะเบียนร่วมกับ นายปรีชา ศรีสกุลภิญโญ พี่ชายคนโตเป็นผู้ก่อตั้ง ทุนจดทะเบียน 30,000 หุ้น ๆ ละ 100 บาท
นายสมชาย เป็นผู้ดูแลกิจการมาโดยตลอด เมื่อจดทะเบียนเป็น หจก. ต้องมีชื่อหุ้นส่วนร่วมด้วย จึงใส่ชื่อให้คุณพ่อ นายธวัชชัย และน้องชายอีกคน รวมมาตลอด จนถึง พ.ศ.2546 นายพีรพัฒน์ น้องชายคนเล็กที่เขาส่งเสียให้ไปร่ำเรียนตั้งแต่เล็กจนจบปริญญาโทจากต่างประเทศ ได้กลับมา จึงให้ใส่ชื่อเป็นหุ้นส่วนในบริษัทโดยไม่ต้องลงทุนร่วมหุ้น ส่วน น.ส.นันทนา น้องสาวคนเล็ก นายสมชาย ก็ได้ส่งเสียให้เรียนจนจบต่างประเทศเช่นเดียวกัน
จนเมื่อเดือน ก.พ. 2558 ขณะที่ นายสมชาย เป็นกรรมการผู้มีอำนาจและเป็นผู้ถือหุ้นบริษัท สตาร์มาร์ค แมนนูแฟคเชอร์ริ่ง จำกัด ผู้ต้องหาทั้ง 5 คน ได้ร่วมกันหลอกลวงให้นายสมชายโอนหุ้นส่วนของตน จำนวน 5% ไปให้ น.ส.นันทนา เป็นผู้ถือแทน เพื่อใช้ในการบริหารในตลาดหลักทรัพย์
โดยในปี พ.ศ.2558 นายพีรพัฒน์ ได้มาพูดคุยแนะนำให้นำหุ้นของบริษัทฯ เข้าจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์เพื่อเพิ่มมูลค่าของราคาหุ้น บอกว่า ในฐานะผู้ถือหุ้นเดิมจะได้รับเงินสดจำนวนหนึ่งก่อนจากการขายหุ้นบางส่วนออกไปให้กับบุคคลทั่วไป และหลังจากบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว หุ้นที่ถืออยู่จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างมากซึ่งมีสิทธิจะขายหุ้นทำกำไรได้ทันที นอกจากนั้น ยังออกอุบายหลอก นายสมชาย ให้ออกจากการเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัท โดยอ้างว่า ในการนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ จะต้องมีการกู้ยืมเงินประมาณ 300 ล้านบาท ซึ่ง ายพีรพัฒน์ ไม่อยากให้ นายสมชาย ต้องมาค้ำประกันหนี้ร่วมด้วย เพราะอยากให้อย่างน้อยพี่น้องคนหนึ่งไม่ต้องเป็นหนี้ร่วม และบอกกับนายสมชายว่า ไม่ต้องเป็นห่วงบริษัท เพราะตนจะให้บุตรสาวของนายสมชายเข้าไปดูแลบัญชีหุ้นแทน จนนายสมชายหลงเชื่อ และด้วยความที่เป็นพี่น้องร่วมสายเลือดพ่อแม่เดียวกันมา และส่งเสียให้ร่ำเรียนจนสำเร็จการศึกษาระดับสูงจากต่างประเทศ ไม่คิดว่าจะโดนโกง จึงทำตามที่นายพีรพัฒน์ แนะนำ
แต่เมื่อบุตรสาวนายสมชาย เข้าไปทำงานในบริษัทฯ มีโอกาสตรวจสอบบัญชีดูแล้วจึงทราบว่า เป็นไปไม่ได้ที่บริษัทฯ จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ เพราะนายพีรพัฒน์ ไม่ได้มีการเตรียมการใดๆ ในด้านบัญชีเพื่อที่จะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ บุตรสาวจึงนำเรื่องมาบอกให้นายสมชายทราบ ก่อนจะมีการทวงถามขอให้โอนหุ้นส่วนที่โอนไปให้ น.ส.นันทนา คนละ 5 % ตามที่นายพีรพัฒน์แนะนำคืน แต่ไม่คืนกลับโอนต่อไปให้บุคคลภายนอกครอบครัวถือครองแทน ทำให้นายสมชาย ขาดจากการเป็นกรรมการผู้มีอำนาจ
ปัจจุบันธุรกิจของบริษัทสตาร์มาร์คแมนนูแฟคเชอร์ริ่ง จำกัด ที่มีบริษัทในเครือ ประกอบด้วยบริษัท โมเก้น (ประเทศไทย) จำกัด ที่ประกอบกิจการค้าขายเครื่องสุขภัณฑ์ บริษัท ไอดอล จำกัด และ บริษัท เอส ทู กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งอยู่บนที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมสมุทรสาคร กว่า 70 ไร่ สำนักงานสาขาทั้งใน จ.สมุทรสาคร และ กทม. ทรัพย์สินทั้งหมดรวมมูลค่ากว่า 1.3 พันล้านบาท
นายสมชายจึงเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามสืบสวนสอบสวนดำเนินคดีกับน้องๆ ที่ใช้กลอุบายฉ้อโกงหุ้นส่วนของเขาไป นอกจากจะแจ้งความตำรวจกองปราบปรามแล้ว นายสมชายยังฟ้องน้องๆ อีกหลายคดีทั้งทางแพ่งและอาญา ประกอบด้วย
1. วันที่ 4 ธ.ค.58 นายสมชาย แจ้งความกองปราบปราม ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงหุ้น ศาลนัดสืบพยานฝ่ายโจทก์ นัดแรกวันที่ 20 มิ.ย. 60
2. วันที่ 27 ต.ค. 59 ฟ้องคดีอาญาหมายเลขดำที่ 6405/2559 แจ้งเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์บริษัท อันเป็นเท็จ เพื่อนำบริษัท สตาร์มาร์ค แมนูเฟคเชอร์ริ่ง จำกัด เข้าไปค้ำประกันหนี้สินให้กับ บริษัท สตาร์มาร์ค (ประเทศไทย) จำกัด ในการกู้เงินเป็นวงเงินทั้งสิ้น 700 ล้าน จากธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จํากัด (มหาชน) ศาลพิพากษาจำคุกนายพีรพัฒน์ และนายธวัชชัย เป็นเวลา 6 เดือน ปรับ 6,000 บาท รอลงอาญา 2 ปี
3. เดือน มี.ค. 60 ฟ้องคดีอาญา หมายเลขดำที่ 1308/2560, 1202/2660 ข้อหาลักทรัพย์ ปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของ ศาลอุทธรณ์
4. วันที่ 11 เม.ย. 60 ฟ้องคดีแพ่ง หมายเลขดำที่ 164/2560 และคดีอาญา หมายเลขดำที่ 1867/2560 ข้อหาลักทรัพย์ ทั้งสองคดีปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์
5. วันที่ 4 ม.ค. 61 ฟ้องคดีแรงงานให้นายเดชนันท์ ศรีสกุลภิญโญ บุตรชายนายสมชาย โดนให้ออกจากงาน วันที่ 26 ก.ย. 61 ศาลตัดสิน ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่นายเดชนันท์ ปัจจุบันยังไม่มีการชดใช้ค่าเสียหาย คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์
6. วันที่ 24 พ.ค. 61 นายสมชาย และนางจารุนันท์ โตสกุลชัย ฟ้องคดีแรงงาน ให้นายสมชาย และนางจารุนันท์ ออกจากงาน วันที่ 24 ธ.ค.61 ศาลตัดสินให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย ปัจจุบันยังไม่มีการชดใช้ค่าเสียหาย คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์
นายสมชาย ผู้บุกเบิกก่อตั้งบริษัท สตาร์มาร์ค มากับมือ มีความจำเป็นต้องเรียกร้องความยุติธรรมโดยการแจ้งความดำเนินคดีและฟ้องร้อง น้องร่วมสายเลือดทั้ง 3 คนกับพวกที่ร่วมกันฉ้อโกงหุ้นไป เพราะว่า หลังจากนั้น นายพีรพัฒน์ และนายธวัชชัย ยังได้นำข้อมูลรายชื่อลูกค้า ผู้ผลิตวัตถุดิบ เครื่องหมายการค้า “สตาร์มาร์ค” รวมถึงสูตรในการผลิตและบุคคลากรผู้มีความชำนาญไปใช้ในการขายสินค้าของบริษัท สตาร์มาร์ค (ประเทศไทย) จำกัด ที่ทั้งคู่แอบไปเปิดส่วนตัว โดยอ้างว่า เป็นบริษัทในกลุ่มเดียวกันกับบริษัท สตาร์มาร์คแมนูแฟคเชอร์ริ่ง จำกัด โดยบอกลูกค้าของบริษัทสตาร์มาร์คแมนูแฟคเชอร์ริ่ง จำกัด ว่า บริษัทสตาร์มาร์คแมนูแฟคเชอร์ริ่ง จำกัด เปลี่ยนแปลงบัญชี การโอนจ่ายเงินในการชำระค่าสินค้า และบริการจากบริษัท สตาร์มาร์คแมนูแฟคเชอร์ริ่ง จำกัด ไปยังบริษัท สตาร์มาร์ค (ประเทศไทย) จำกัดแทน
ทำให้บริษัท สตาร์มาร์คแมนูแฟคเชอร์ริ่ง จำกัด ต้องขาดรายได้จำนวนมาก ทำให้บริษัทสตาร์มาร์คแมนูแฟคเชอร์ริ่ง จำกัด เสี่ยงที่จะอยู่ในภาวะขาดทุน และอาจถูกฟ้องล้มละลายได้
นายพีรพัฒน์ และนายธวัชชัย นอกจากจะได้ใช้อำนาจปลดคนในครอบครัวของนายสมชาย ได้แก่ นายสมชาย ภรรยา บุตรชาย และบุตรสาว ออกจากบริษัทสตาร์มาร์คแมนูแฟคเชอร์ริ่ง จำกัด ที่นายสมชาย เป็นผู้ก่อตั้งขึ้นมา ทำให้ครอบครัวของนายสมชายไม่มีรายได้แล้ว ยังได้ตัดค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เป็นสวัสดิการของนายสมชาย และครอบครัว ตลอดจนโบนัสประจำปี และงดจ่ายเงินปันผลที่เคยได้รับมาตลอดอีกด้วย
"ต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามที่ผดุงความยุติธรรม ช่วยสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานตลอดระยะเวลา 3 ปีกว่า จนสามารถส่งให้อัยการมีความเห็นสั่งฟ้อง ซึ่งตนได้ไปพบพนักงานอัยการเพื่อเตรียมพร้อมขึ้นศาลเบิกความเป็นปากแรกในวันพรุ่งนี้ที่ 20 มิ.ย." นายสมชาย กล่าว
.