เมื่อเวลา 10.0 0 น. วันที่ 3 ธ.ค.62 ผู้สื่อข่าว ONB news รายงานว่า ที่วิทยาลัยเทคนิคสระบุรี ตั้งอยู่ถนนพหลโยธิน เขตเทศบาลเมืองสระบุรี มีเหตุนักศึกษากระโดดตึกจากชั้น 5 ลงมาเบื้องล่าง หลังมีการจัดกิจกรรมหน้าเสาธงในตอนเช้า อาจารย์ฝ่ายปกครอง และ รปภ. จึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบ และรีบแจ้งเหตุประสานขอความช่วยเหลือไปยังอาสาสมัครมูลนิธิสว่างรัตนตรัยธรรมสถานสระบุรี นำรถพยาบาลมารับนำส่ง รพ.สระบุรี
            ในที่เกิดเหตุบริเวณพื้นซีเมนต์ด้านหลังป้อมยามทางเข้า-ออกวิทยาลัยซึ่งด้านหลังเป็นอาคารอเนกประสงศ์ 6 ชั้นพบร่าง นายสมชาย (นามสมมุติ) อายุ 15 ปี เป็นนักศึกษาแผนกช่างยนต์ ปวช.ปี 1 สวมชุดลูกเสือนอนตะแคงข้างหายใจรวยรินอยู่  จึงได้ช่วยเหลือรีบนำส่ง รพ.สระบุรี แพทย์ตรวจเบื้องต้นแล้วรีบนำเข้าห้องผ่าตัดทันที ขณะรายงานข่าวมี พ่อ-แม่ ญาติๆ ที่ทราบข่าวพากันไปรอดูอาการกันที่หน้าห้องผ่าตัดเป็นจำนวนมาก แพทย์ใช้เวลานานกว่า 1.45 ช.ม.จึงแล้วเสร็จ อาการเบื้องต้นสะโพกหัก ศรีษะมีเลือดคั่งในสมอง ต้องนำเข้าห้อง ไอซียูเพื่อรอดูอาการเป็นระยะๆต่อไป เบื้องต้นผู้ส่อข่าวพยายามสอบถาม ชื่อที่อยู่ และภูมิลำเนาของ พ่อ-แม่ ของนักศึกษาชายคนดังกล่าว ถึงมูลเหตุที่คิดสั้นกระโดดตึกในครั้งนี้ แต่ถูกปฏิเสธ และให้ไปสอบถามรายละเอียดกับทาง วิทยาลัยเทคนิคสระบุรีเอาเอง

 

 

 

 

 

 

 

           ต่อมาผู้สื่อข่าว หลายสำนักจึงพากันเข้าพบ นายเจนวิทย์  ตั้งเจริญวรคุณ ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคสระบุรี เพื่อสอบถามเรื่องที่เกิดขึ้น นายเจนวิทย์ เปิดเผยว่าจากการสอบถามอาจารย์ และเพื่อนๆนักศึกษาในห้องเดียวกันทราบว่าในวันนี้ ( 3 ธ.ค.62) นักศึกษาชายคนดังกล่าวได้ส่งไลน์บอกเพื่อนให้ลาอาจารย์ให้ด้วยว่า วันนี้ขอลา 1 วัน แต่สายวันเดียวกันนี้กลับมีผู้ปกครองขับขี่รถ จยย. นำนักศึกษาผู้นั้นมาส่งเข้าเรียน โดยครู อาจารย์ นักศึกษาหลังเสร็จกิจกรรมต่างแยกย้ายกันเข้าห้องเรียนตามปกติซึ่งที่อาคารอเนกประสงศ์ มีเปิดการเรียนการสอนอยู่หลายแผนก รวมถึงเป็นห้องสมุดด้วยจึงมีคนพลุกพล่านจึงไม่ทราบว่านักศึกษาคนดังกล่าวแอบเดินขึ้นไปบนชั้น 5 ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่แล้วจู่ๆเพียงครู่เดียวมี อาจารย์ฝ่ายปกครองรายงานว่ามีนักศึกษาโดดอาคารอเนกประสงศ์จากชั้น 5 ลงมาเบื้องล่างจึงรีบวิ่งมาดูและแจ้งรถพยาบาลมารับส่ง รพ. ซึ่งตน และคณะ อาจารย์ได้ติดตามไปดูอาการที่ รพ.สระบุรี แล้วแพทย์กำลังผ่าตัดอาการเลือดคลั่งในสมอง   ยังน่าเป็นห่วง