ชาวบ้านชื้อที่คนในหมู่บ้าน จัดเป็นที่ดินสาธารณะก่อสร้างโรงเรือน จู่ๆโดนหมายยึดทรัพย์
21 พ.ย. 2562, 15:34
วันนี้ ( 21 พ.ย. 2562) ผู้สื่อข่าว ONB news รายงานว่า ที่ศาลากลางประจำหมู่บ้านโนนสำราญ ม.12 ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ นายไพโรจน์ ผิวงาม ผญบ.โนนสำราญพร้อมด้วย ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้าน และชาวบ้านโนนสำราญกว่า 100 คน ได้ร่วมกันประชุมกันหารือและหาทางออก เกี่ยวกับกรณีที่ สำนักงานบังคับคดี จ.สุรินทร์ ได้มีการติดหนังสือประกาศเรื่องการยึดทรัพย์ ที่ดินโฉนดเลขที่ 10751 เลขที่ดิน 4 หน้าสำรวจ 4307 ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ห้ามมิให้ผู้ใดกระทำให้เสียหาย จำหน่ายจ่ายโอน หรือกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด แก่ทรัพย์ที่ยึด โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นอันขาด ซึ่งเป็นคดีหมายเลขดำที่ ผบ.47/2555 คดีหมายเลขแดงที่ ผบ.157/2555 ศาลจังหวัดสุรินทร์ ลงวันที่ 17 ต.ค.2562
โดยที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดิน ของนางอรุชา บุญญายิ่ง ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านโนนสำราญ และเป็นสินสมรสกับสามีคือนายจำนง บุญญายิ่ง เสียชีวิตแล้ว ขายให้กับหมู่บ้านโนนสำราญ เมื่อปี 2552 เพื่อก่อสร้างศาลากลางประจำหมู่บ้าน และภายในที่ดินดังกล่าว ยังมีการสร้างโครงการร้านค้าชุมชน ประชารัฐกองทุนหมู่บ้านโนนสำราญ และโรงสีชุมชน อยู่ในพื้นที่เดียวกันอีกด้วย ซึ่งขณะนั้นได้มีการทำสัญญาตกลงซื้อขายที่ดินกัน ระหว่างหมู่บ้านโนนสำราญ โดยมีคณะกรรมการหมู่บ้าน เป็นตัวแทนหมู่บ้าน ร่วมทำสัญญาซื้อขายที่ดินกับเจ้าของที่ดินเดิมดังกล่าว โดยมีพื้นที่ 1 งาน 47 ตาวางวา ในราคา 1 แสน 3 หมื่นบาท โดยด้านหลังโฉนดที่ดินระบุไว้ว่า “ห้ามโอนภายใน 10 ปี ตามมาตรา 58 ทวิ ตามประมวลกฏหมายที่ดินนับตั้งแต่วันที่ 26 มิ.ย.2552”
ต่อมา เมื่อครบอายุ 10 ปี ที่จะสามารถโอนที่ดินได้แล้ว เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 2562 ที่ผ่านมา ทางหมู่บ้านยังไม่มีการโอนที่ดิน เนื่องจากรอวังวัดและโอนที่ดินพร้อมกันกับที่ดินข้างเคียงที่ชาวบ้านบริจาคเพิ่มเติม แต่กลับพบว่ามีหนังสือประกาศเรื่องการยึดทรัพย์ที่ดินดังกล่าวมาติดประกาศก่อน หลังจาก สำนักงานบังคับคดี จ.สุรินทร์ ได้มีการสืบทรัพย์พบว่าที่ดินดังกล่าวยังเป็นทรัพย์สินและสินสมรสของนายจำนง บุญญายิ่ง ที่เสียชีวิตไปแล้ว โดยมีชื่อนางนางอรุชา บุญญายิ่ง ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านโนนสำราญ ซึ่งเป็นภรรยา ที่มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ยังไม่ได้โอนอยู่
สำหรับกรณีที่มีหนังสือประกาศเรื่องการยึดทรัพย์ที่ดินดังกล่าว สืบเนื่องจาก เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินเดิม เคยค้ำประกันรถยนต์ให้กับบุคคลที่รู้จักกัน ก่อนที่รถยนต์จะหายไป และได้มีการแจ้งความไว้แล้ว จากนั้น ทางธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) ได้ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย ตามกระบวนการทางกฎหมาย จนมีหนังสือประกาศเรื่องการยึดทรัพย์ที่ดินแปลงดังกล่าว ที่ยังเป็นชื่อเจ้าของเดิมและยังไม่ได้มีการโอนให้กับหมู่บ้านจนเกิดเรื่องดังกล่าวขึ้น
ต่อมา หลังจากมีหนังสือประกาศยึดทรัพย์จาก สนง.บังคับคดี จ.สุรินทร์ มาติดที่ศาลากลางหมู่บ้าน นายไพโรจน์ ผิวงาม ผญบ.โนนสำราญพร้อมด้วย ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้าน ได้เดินทางไปปรึกษาขอความช่วยเหลือที่ สนง.บังคับคดี จ.สุรินทร์ ศูนย์ดำรงธรรม จ.สุรินทร์ และอัยการจังหวัดสุรินทร์ โดยได้รับคำแนะนำว่าให้หาทนาย และรวบรวมเอกสารสัญญาหลักฐานซื้อขายต่างๆ รวมทั้งให้ชาวบ้านไม่ต่ำกว่า 100 คน ร่วมกันเช็นต์ชื่อเป็นพยานร่วมกันว่าที่ดินดังกล่าวมีการทำสัญญาซื้อขายจริงและเป็นสถานที่สาธารณะประโยชน์ของหมู่บ้านจริง เพื่อจะได้ยื่นต่อศาลให้มีคำสั่งระงับและคุ้มครองชั่วคราว เพื่อรอให้ศาลตัดสินต่อไป ว่าจะมีคำสั่งเพิกถอนการยึดทรัพย์หรือไม่อย่างไรต่อไป
ขณะที่ระหว่างการประชุมทั้งผู้นำหมู่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้านและชาวบ้าน ส่วนใหญ่มีความคิดเห็นตรงกันว่า จะช่วยกันบริจาคเงินครัวเรือนละ 100 บาท เพื่อสมทบกันเป็นค่าจ้างทนายความในการดำเนินเรื่อง ซึ่งจะต้องมีค่าใช้จ่ายทั้งค่าทนายและค่าดำเนินการต่างๆประมาณ 5 หมื่นบาท หากเงินไม่พอ ก็จะใช้เงินกองทุนหมู่บ้านและเงินจากกลุ่มออมทรัพย์ต่างๆมาช่วยสมทบไปก่อน
นายไพโรจน์ ผิวงาม ผญบ.โนนสำราญ กล่าวว่า วันนี้เรามีการประชุมร่วมกับชาวบ้าน เพื่อร่วมกันประชาคม ขอความคิดเห็น หลังจากที่หมู่บ้านของเรา โดนหมายจากบังคับคดี เพื่อมายึดที่ดิน ที่สาธารณะประโยชน์ของหมู่บ้าน ที่เราได้ปลูกสร้างศาลากลางหมู่บ้าน ร้านค้าชุมชน และโรงสีชุมชน ซึ่งเป็นงบประมาณของราชการทั้งนั้น ซึ่งที่ดินดังกล่าวที่มีการซื้อขายเป็นที่ดินสาธารณะ ติดห้ามโอน ภายใน 10 ปี ซึ่งครบอายุ 10 ปี เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทางคณะกรรมการหมู่บ้านยังไม่ได้ไปโอนเป็นที่สาธารณะ ทาง สนง.บังคับคดี ได้มีการสืบทรัพย์มา ทราบว่าที่ดินแปลงดังกล่าว สามารถโอนได้หลังวันที่ 26 มิ.ย.2562 ทาง สนง.บังคับคดี พร้อมกับโจทย์ คือธนาคารทิสโก้ ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ จึงได้ยื่นเรื่อง สืบทรัพย์ที่ดิน และได้มีการสืบทรัพย์มาหลายปีแล้ว เรื่องดังกล่าวเกิดจากเจ้าของที่ดินเดิม เคยค้ำซื้อรถยนต์ให้คนอื่น แต่ไม่ได้ใช้รถ เอง จากนั้นรถก็หายไป ซึ่งเจ้าของที่ดินเดิมดังกล่าว ก็เคยถูกยึดทรัพย์ที่ดินไป 1 แปลงและขายทอดตลาดไปแล้ว ซึ่งในวันนี้เรามาประชุมชี้แจงให้ชาวบ้านทราบ และชาวบ้านมีความเห็นตรงกันว่าจะร่วมกันบริจาคครัวเรือนละ 100 บาท เพื่อเป็นการระดมทุนเพื่อนำเงินมาใช้จ่ายค่าทนายและค่าดำเนินการต่างๆ รวมแล้วจะต้องใช้เงินประมาณ 5 หมื่นบาท ซึ่งนอกจากเงินที่ชาวบ้านร่วมกันบริจาคแล้ว ส่วนที่เหลือก็จะนำเงินจากกลุ่มออมทรัพย์ หรือกลุ่มกองทุนหมู่บ้าน ในชุมชนมาสมทบให้ครบ ซึ่งขึ้นตอนต่อไปจะมอบหมายให้ทนายความ ยื่นคำร้องต่อศาล ให้ศาลมีความเมตตา ว่าที่ดินแปลงนี้เป็นที่ดินของหมู่บ้าน โดยได้ซื้อจากผู้ขายมากว่า 10 ปีแล้ว ซึ่งชาวบ้านต่างยังฝากความหวังไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และศาลให้มีความเมตตา ต่อชาวบ้านด้วย เพราะเป็นสถานที่ๆชาวบ้านใช้ประกอบกิจกรรมส่วนรวมและกิจการงานต่างๆของส่วนรวมมาโดยตลอด ผญบ.โนนสำราญฯกล่าว