(รวมภาค) กลุ่มผู้ปกครองเด็กนักเรียนเผาพริกเผาเกลือสาปแช่ง เจ้าของรถตัดอ้อย ไม่เหลียวแลเด็กบาดเจ็บ
21 ต.ค. 2567, 21:26
กาญจนบุรี - กลุ่มผู้ปกครองเด็กนักเรียนที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ รถตู้รับส่งนักเรียนชนท้ายรถตัดอ้อย เผาพริก เผาเกลือ สาปแช่งเจ้าของรถตัดอ้อย หลังเกิดอุบัติเหตุมานานเกือบปี ไม่เคยมารับผิดชอบเยียวยาเด็กที่บาดเจ็บ พร้อมบุกยื่นหนังสือ สว หวังทวงความเป็นธรรมให้เกิดขึ้น
จากกรณี การเกิดอุบัติเหตุ รถตู้รับส่งนักเรียนชนท้ายรถตัดอ้อย บนถนนสายหนองรี-หนองปรือ ตำบลหนองรี อำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อช่วงเช้ามืดของวันที่ 22 มกราคม 2567 ส่งผลให้มีเด็กนักเรียนได้รับบาดเจ็บรวม 14 ราย แต่ปรากฏว่า ทางเจ้าของรถตัดอ้อย กลับไม่เคยออกมาแสดงความรับผิดชอบใดๆ จนเวลาล่วงเลยมานานเกือบปี ทำให้ครอบครัวของเด็กนักเรียนที่ได้รับบาดเจ็บ ต้องรวมตัวกัน เดินหน้าเรียกร้องขอความเป็นธรรมจากหลายหน่วยงาน
ผู้สื่อข่าว ONB news รายงานล่าสุด เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา นายมานิตย์ ชมชื่น หนึ่งในผู้ปกครองของเด็กนักเรียนที่ได้รับบาดเจ็บพร้อมด้วยคณะผู้ปกครองของเด็กที่ได้รับบาดเจ็บ เดินทางมายังวัดหนองปรือ เพื่อเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรม ต่อ ผศ.ดร.นพดล อินนา สมาชิกวุฒิสภา ที่เดินทางมาเป็นประธานในการทอดกฐินสามัคคีที่วัดหนองปรือแห่งนี้
โดยนายมานิตย์ กล่าวว่า รู้ดีว่า การเดินทางมายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมในงานบุญเช่นนี้ ไม่เหมาะสม แต่ตนเองและกลุ่มผู้ปกครอง เดินหน้าร้องเรียนขอความเป็นธรรมมาหลายหน่วยงาน แต่ก็ยังไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงตัดสินใจเดินทางเข้าร้องขอความเป็นธรรมต่อ สว.นพดล อินนา ที่เป็นชาวจังหวัดกาญจนบุรี และเป็นชาวอำเภอหนองปรือ เพื่อหวังว่าจะสามารถช่วยให้พวกตนและบุตรหลาน ได้รับความเป็นธรรมได้ โดยหลังรับหนังสือร้องเรียนแล้ว ผศ.ดร.นพดล อินนา รับปากที่จะดูแลและติดตามเรื่องนี้ให้
หลังยื่นหนังสือเสร็จเรียบร้อย ทางนายมานิตย์ และกลุ่มผู้ปกครองทั้งหมด ได้ช่วยกันยกเอาเตาขนาดใหญ่ มาตั้งที่หน้าพระใหญ่ วัดหนองปรือ ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านในตำบลหนองปรือ พร้อมนำเอากระดาษที่ปริ้นท์ภาพถ่ายของรถตัดอ้อยคันที่เกิดเหตุ เมาเผาในเตาไฟพร้อมทำพิธีเผาพริก เผาเกลือ สาปแช่ง เจ้าของรถตัดอ้อย ที่ไม่เคยออกมาแสดงความรับผิดชอบเยียวยา บรรดาเด็กนักเรียนที่ได้รับบาดเจ็บ
นายมานิตย์ เล่าว่า อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ทางกลุ่มผู้ปกครองเชื่อว่า รถตัดอ้อยมีส่วนผิดที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ เนื่องจากเป็นการนำเอารถตัดอ้อยที่มีขนาดใหญ่ มีน้ำหนักมากกว่า 1,600 กิโลกรัม อีกทั้งไม่มีสัญญาณไฟส่องสว่างมาขับบนถนนตั้งแต่ช่วงเช้ามืด แต่ปรากฏว่า ในการทำสำนวนคดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจ กลับดำเนินคดีเพียงคนขับรถตู้โดยสารคันเกิดเหตุ และให้ทางเจ้าของรถตัดอ้อย เสียเพียงค่าปรับ เรื่องการนำรถที่ไม่ได้จดทะเบียนมาขับบนท้องถนน จำนวน 400 บาทเท่านั้น โดยไม่ต้องมีส่วนรับผิดชอบต่ออาการบาดเจ็บและความเสียหายของเด็กนักเรียนทั้งหมดแต่อย่างใด แม้ทางกลุ่มผู้ปกครองจะพยายามสอบถามถึงชื่อเจ้าของรถตัดอ้อยจากทางตำรวจก็กลับได้รับการปฏิเสธมาโดยตลอด
อีกทั้ง ในช่วงระหว่างที่ศาลจังหวัดกาญจนบุรี มีการเรียกคู่กรณีทั้งหมด มาเจรจาไกล่เกลี่ยนั้น ทางผู้พิพากษาได้มีการขอให้ทางเจ้าของรถตัดอ้อย เดินทางมาร่วมเจรจารับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น ร่วมกับทางฝั่งผู้ปกครอง แต่เมื่อถึงวันนัด ปรากฏว่าไม่สามารถติดต่อเจ้าของรถตัดอ้อย รวมถึงทนายความได้ ทำให้การเจรจาไกล่เกลี่ยไม่เป็นผล
เมื่อคดีเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาล คนขับรถตู้โดยสารยอมรับสารภาพว่าขับรถโดยประมาท ทำให้เกิดอุบัติเหตุ แต่ทางฝั่งเจ้าของรถตัดอ้อย กลับไม่ถูกดำเนินคดีและไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ซึ่งทางกลุ่มผู้ปกครองมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง โดยหลังจากนี้ ทางกลุ่มผู้ปกครองจะขอใช้สิทธิ์ทางกฎหมาย ยื่นฟ้องร้องทั้งทางคดีอาญาและคดีแพ่ง ต่อเจ้าของรถตัดอ้อย ไม่ว่าผลของการฟ้องร้องในครั้งนี้จะออกมาเป็นอย่างไร ทางกลุ่มผู้ปกครองก็พร้อมยินดียอมรับ เพียงแต่ต้องการให้เจ้าของรถตัดอ้อย ได้เข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีของศาลเท่านั้น