จากกรณีมีสื่อใหญ่หลายสำนัก รายงานว่า  นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย หรือ ทอท. เปิดเผยถึงการพัฒนาสนามบินทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานหาดใหญ่ และท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ว่าสนามบินที่มีอัตราเติบโตดี คือสนามบินที่เป็นจุดศูนย์กลางที่ผู้โดยสารสามารถเดินทางเชื่อมต่อไปยังปลายทางได้หลายที่ ส่วนสนามบินที่เป็นเกตเวย์หรือเป็นศูนย์กลางการค้าและเศรษฐกิจซึ่งไม่ใช่ศูนย์กลางการเดินทาง กลับมีแนวโน้มจำนวนผู้โดยสารและเที่ยวบินที่เข้ามาใช้บริการเริ่มหดตัวต่อเนื่อง

ทอท. จึงจำเป็นต้องเร่งปรับแผนบริหารสนามบินเพื่อรับมือความเสี่ยงจากรายได้ที่กำลังลดลงและต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น โดยสนามบินที่เป็นเกตเวย์ของ ทอท. คือ สนามบินหาดใหญ่และสนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ที่ปัจจุบันผู้โดยสารเริ่มลดลง ในอีก 5-6 ปีจากนี้ ทอท.มีแผนยุบสนามบินหาดใหญ่ควบรวมกับสนามบินภูเก็ต ซึ่งทอท. มีแผนพัฒนาสนามบินภูเก็ต แห่งที่ 2 แล้วในขณะนี้ ทั้งนี้ เนื่องจากปัจจุบันอำเภอหาดใหญ่ไม่ใช่ศูนย์กลางการเดินทางเชื่อมต่อ แต่เป็นเพียงศูนย์กลางทางด้านธุรกิจและแหล่งท่องเที่ยว เมื่อไปเที่ยวหาดใหญ่ไม่สามารถไปเที่ยวต่อที่อื่นๆได้ โดยเฉพาะชาวต่างชาติจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย ที่หันไปเที่ยวที่อื่นแทน ดังนั้น ทอท.อาจต้องปรับแผนนำสนามบินหาดใหญ่ไปพัฒนาดำเนินการธุรกิจอื่นๆแทน เช่น ปรับให้เป็นพื้นที่ให้เช่าจอดเครื่องบิน เป็นต้น

 

สำหรับสนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ก็อยู่ในข่ายที่ต้องยุบเช่นกัน เพราะเป็นสนามบินที่ผู้โดยสารไม่สามารถเดินทางเชื่อมต่อไปยังสนามบินอื่นๆได้ อีกทั้งสาธารณูปโภคโดยรอบสนามบินยังพัฒนาไม่เต็มที่ทำให้มีคนสนใจไปเที่ยวน้อย ส่งผลให้เที่ยวบินที่เข้าไปใช้บริการเริ่มลดลง ทอท. ต้องเร่งปรับแผนลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ โดยสนามบินแห่งไหนที่บริหารแล้วขาดทุนต้องเร่งปรับเปลี่ยนรูปแบบ รวมทั้งต้องเร่งเพิ่มรายได้ด้านอื่นๆนอกเหนือจากการให้เช่าสนามบินเพื่อทำการบิน เช่น อาจจัดตั้งบริษัทรักษาความปลอดภัยเพื่อออกประมูลงานให้บริการรักษาความปลอดภัยในหน่วยงานอื่นๆ

 

อย่างไรก็ตาม มีรายงานข่าวจาก ทอท.แจ้งว่าในปีงบประมาณ 2562 (ต.ค.2561-ก.ย.2562) สนามบินหาดใหญ่เป็นสนามบินที่มีจำนวนเที่ยวบินปรับลดลงมากที่สุดถึง 7.4% มีจำนวนเที่ยวบินรวม 2,027 เที่ยวบิน และมีปริมาณผู้โดยสารทั้งสิ้น 4,028,506 คน ซึ่งลดลงมากถึง 5.6%.