เมื่อวันที่ 24 พ.ค.67  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ห้องประชุมสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.ศรีสะเกษ ชั้น 2 อาคารศรีพฤทธาลัย ราชภัฏสัมมานาคาร มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ นายพีระพงศ์ หมื่นผ่อง หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.ศรีสะเกษ เป็นประธานการประชุมสรุปและถอดบทเรียนการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงที่ผ่านมา เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุทางถนน ตลอดจนปัญหาอุปสรรคและแนวทางแก้ไขปัญหาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ในอนาคตต่อไป หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้แทนอำเภอ เข้าร่วมประชุม

นายพีระพงศ์ หมื่นผ่อง หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า จากผลการวิเคราะห์สถิติคดีตามมาตรการ 10 ข้อหาหลัก 10 รสขม ในรอบ 5 ปีย้อนหลัง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562-2566 มีคดีรวมทั้งสิ้น 385,041 คดี โดยพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้เกิดคดีสูงสุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ ไม่สวมหมวกนิรภัย 103,808 คดี ไม่มีใบขับขี่ 93,469 คดี และความเร็วเกินกำหนด 27,396 คดี แม้ว่าสถิติคดีในภาพรวมจะมีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2565-2566 แต่บางข้อหา เช่น ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย และไม่สวมหมวกนิรภัย กลับมีสัดส่วนที่เพิ่มสูงขึ้น แสดงให้เห็นว่ายังต้องให้ความสำคัญกับมาตรการด้านนี้ ตลอดจนพฤติกรรมเสี่ยงบางอย่าง เช่น ใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ และแซงในที่คับขัน แม้จะมีสัดส่วนไม่สูงมากนัก แต่ก็ไม่ควรละเลย เพราะสามารถก่อให้เกิดอุบัติเหตุรุนแรงได้ พฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางถนนสูงสุด 3 ลำดับแรกใน จ.ศรีสะเกษ คือ ไม่สวมหมวกนิรภัย ไม่มีใบขับขี่ และความเร็วเกินกำหนด ซึ่งควรกำหนดยุทธศาสตร์และมาตรการในการแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังและเข้มงวด มีการรณรงค์สร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัยทางถนน โดยเน้นการประชาสัมพันธ์ถึงพิษภัยของการไม่สวมหมวกนิรภัย การขับขี่ด้วยความเร็วสูง และผลกระทบจากการไม่มีใบขับขี่ เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนเกิดความตระหนัก จัดกิจกรรมฝึกอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับกฎจราจรและการขับขี่ปลอดภัยแก่ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มที่ยังไม่มีใบขับขี่ พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกในการสอบใบขับขี่ เพื่อลดจำนวนผู้ขับขี่ที่ไม่มีใบอนุญาต และบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดและเข้มงวด สิ่งสำคัญคือ ต้องมีการกำหนดเป้าหมายการลดอุบัติเหตุที่ชัดเจนและวัดผลได้ มีการรายงานความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การดำเนินงานเกิดผลเป็นรูปธรรม ทุกภาคส่วนต้องร่วมแรงร่วมใจกันอย่างจริงจังในการแก้ปัญหานี้ เพื่อลดความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนใน จ.ศรีสะเกษ