"สาวนักธุรกิจ" ป่วยโรคพุ่มพวงรักษา รพ.ดัง ถูกปล่อยทิ้งเลือดไหล แถมปิดแผลผิดที่-ติดเชื้อ พักงานเป็นเดือน
24 ต.ค. 2562, 12:06
วันที่ 23 ตุลาคม 2562 ผู้สื่อข่าว ONB news รายงานว่า ที่ สภ.เสม็ด น.ส.เขมจิรา วงศ์ศิริปภากุล อายุ 30 ปี ที่ปรึกษาด้านการเงินและการลงทุน ตลาดหลักทรัพย์ไทย จึงได้แจ้งความกับ พ.ต.ท.ฐิติวัสส์ บุญอ่อน สารวัตรเวร สภ.เสม็ดว่า เมื่อวันที่ 3 กันยายนที่ผ่านมา เวลาประมาณ 14.00 น. ได้เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลชื่อดัง เกี่ยวกับโรคเอสแอลดี หรือโรคพุ่มพวง เนื่องจากแพทย์ได้ตรวจพบชิ้นเนื้อไต จึงได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลดังกล่าว ปรากฏว่าภายหลังจากการรักษาได้ปล่อยให้ทิ้งอยู่ในห้องรักษานานถึง 45 นาที ปรากฏว่ามีเลือดไหลออกมาตลอดเวลา โดยไม่มีผู้ดูแล จนกระทั่งมีผู้ดูแลโรงพยาบาลมาพบ หลังจากนั้นได้เรียกตำรวจในพื้นที่ใกล้เคียงมาลงบันทึกไว้เป็นกระดาษ เอ 4 เท่านั้น
นอกจากนี้ได้พาไปห้องพักคนไข้ ปรากฏว่าได้พบฝุ่นละอองภายในห้องจำนวนมาก ซึ่งดูแล้วโรงพยาบาลเอกชนต้องได้รับมาตรฐานเจซีไอ จากกระทรวงสาธารณสุข แต่ทำไมไม่มีมาตรฐานในเรื่องของความสะอาด และยังพบว่าพยาบาลได้ปิดแผลจากการผ่าตัดผิดที่อีกด้วย ทำให้แผลเกิดอาการติดเชื้อและเกิดอักเสบต้องเข้ารับการรักษาไม่สามารถทำงานได้นานกว่า 1 เดือนอีกด้วย ส่วนค่ารักษาประมาณ 1 แสนบาท จึงได้มาลงบันทึกประจำวันเพื่อร้องเรียนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
หลังจากนั้น น.ส.เขมจิรา กล่าวว่า ตนเองป่วยเป็นโรคพุ่มพวง โอกาสจะเสียชีวิตก็ง่าย ช่วงแรกไปรักษาที่โรงพยาบาลรามาธิบดีพบชิ้นเนื้อในไต ซึ่งจะต้องผ่าตัด แต่จะเสียเวลาในการเข้าคิวผ่าตัดนานหลายเดือน จึงได้ตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาล ปรากฏว่าการรักษาไม่มีคุณภาพ ปล่อยให้เลือดไหลนานประมาณ 45 นาที และปิดปากแผลผ่าตัดไม่ถูกจุดผ่าตัด ทำให้เกิดการอักเสบต้องพักรักษาตัวนานกว่า 1 เดือนต้องเสียเวลาการทำงาน จึงได้ร้องเรียนไปยังโรงพยาบาลดังกล่าว ปรากฏว่าได้รับคำตอบว่าจะให้ Gift Voucher หากเข้ามารักษาพยาบาล พร้อมทั้งถามว่าจะเรียกร้องค่าเสียหายเท่าไหร่
"งงไปเหมือนกัน การร้องเรียนในครั้งนี้ เพื่อต้องการให้โรงพยาบาลมีการปรับปรุงคุณภาพในการรักษา และดูแลคนไข้ให้ดี ไม่ได้มาเรียกร้องเงินทอง หากเป็นชาวบ้านจะทำอย่างไร จึงได้ตอบไปว่าชีวิตคน 10 ล้านยังชดเชยไม่ได้เลย เพราะโรคพุ่มพวงอาจจะเสียชีวิตได้ทันทีหากมีการรักษาพยาบาลไม่ดีพอ" น.ส.เขมจิรา กล่าวและว่า หลังจากแจ้งความแล้วตนจะไปร้องเรียนที่กระทรวงสาธารณสุข สํานักงานคุ้มครองผู้บริโภค และกระทรวงสาธารณสุขต่อไป เพื่อขอความเป็นธรรมต่อไป